ห้องเม่าปีกเหล็ก

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ไทยรับอานิสงส์ 'สหรัฐ' ฟื้นน้อย

โดย stock-news
เผยแพร่ :
83 views

 

 

นักเศรษฐศาสตร์ หวั่นนโยบายกีดกันการค้าฉุดเศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐน้อย

 

การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ นักลงทุนเกือบจะ 100% เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด(เอฟโอเอ็มซี) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐขึ้นมาอยู่ที่ 0.75-1% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของ เฟด ที่เร็วกว่าคาดการณ์ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น เพียงแต่ยังมีคำถามจากผู้เกี่ยวข้องมากมายว่า เศรษฐกิจโลกและไทย จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในรอบนี้มากน้อยแค่ไหน



นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในรอบนี้ ประเทศไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะถ้าสหรัฐนำนโยบายกีดกันทางการค้ามาใช้



“สหรัฐถือเป็นประเทศผู้บริโภค เวลาที่เขาฟื้น ก็จะนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ มากขึ้น แต่ช่วงนี้บังเอิญว่า เศรษฐกิจเขาฟื้นแต่การนำเข้าไม่ได้เร่งตัวขึ้นแบบในอดีต จึงต้องจับตาว่า เขาจะเน้นการเติบโตจากภายในของเขาเองผ่านการลดภาษีและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจโลกรวมทั้งไทย ก็คงไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่”



หวั่นไทยหลุดวงจรผลิตโลก



นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในรอบใหม่ สหรัฐเน้นเรื่องของเทคโนโลยีและสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ขณะที่การลงทุนของไทยหยุดไปนาน จึงมีคำถามว่า ไทยจะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของสหรัฐได้มากน้อยแค่ไหน ประเด็นนี้จึงขึ้นกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเองด้วย



ส่วนการส่งออกไทยที่ดีขึ้นในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ดีขึ้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะมีความยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่การลงทุนใหม่ๆ ของไทยยังไม่เกิดขึ้น สะท้อนจากการนำเข้าสินค้าทุนของไทยยังหดตัวต่อเนื่อง ดังนั้นการลงทุนเอกชนที่ล่าช้า ยังคงเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจเชื่องช้าตามไปด้วย



สำหรับการประชุมเฟดวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ แม้ตลาดการเงินจะเชื่อไปแล้วว่า เฟด น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบดังกล่าวเลย แต่โดยส่วนตัวยังไม่เชื่อเช่นนั้น โดยเชื่อว่าหากเฟดจะปรับขึ้น น่าจะเกิดในเดือนมิ.ย.นี้มากกว่า



“ผมมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.นี้มากกว่า แต่หากเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้เลย ก็คงเพื่อสกัดภาวะฟองสบู่ในสหรัฐที่เริ่มพองตัว โดยเห็นได้จากดัชนีดาวโจนส์ที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ และอาจแตกลงทำให้เกิดปัญหาภายหน้าได้ จึงต้องรีบลดความร้อนแรงของตลาดหุ้นลง”



แนะเอกชนล็อกต้นทุนการเงิน



สำหรับกรณีที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งตามที่ส่งสัญญาณไว้จะสร้างแรงกดดันต่อนโยบายการเงินของไทยหรือไม่นั้น นายอมรเทพ กล่าวว่า มองได้สองด้าน คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนลงเพื่อสนับสนุนในเรื่องของการส่งออก เพราะที่ผ่านมา ธปท. ค่อนข้างกังวลกับเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค



อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าห่วง คือ หาก ธปท. ไม่ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยพร้อมจะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เมื่อไหร่ ตรงนี้อาจทำให้นักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องเตือนนักลงทุนด้วยเช่นกันว่า แม้ดอกเบี้ยนโยบายไม่ขยับขึ้น แต่ดอกเบี้ยในตลาดอื่นๆ อย่างตลาดพันธบัตรก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามดอกเบี้ยตลาดโลก ดังนั้นผู้ลงทุนที่มีแผนลงทุนอยู่แล้ว จึงควรรีบล็อกต้นทุนการเงินเอาไว้



บาทอ่อนเอื้อส่งออกน้อย



นายอมรเทพ กล่าวด้วยว่า แม้เงินบาทจะอ่อนลง แต่คงไม่ช่วยเรื่องการส่งออกมากนัก เนื่องจากเงินบาทยังอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค อีกทั้งการฟื้นตัวของการส่งออกรอบนี้ เป็นการฟื้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งต้องอาศัยการแข่งขันด้านราคาเข้าช่วย เพราะถ้าค่าเงินบาทแข็งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แล้วส่งผลให้ราคาสินค้าแพงกว่า ประเทศผู้นำเข้าก็อาจเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจากประเทศอื่นแทนได้เช่นกัน



นายกำพล อดิเรกสมบัติ นักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งดูจะเกิดเร็วขึ้นกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์เอาไว้นั้น ส่วนหนึ่งก็สะท้อนถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้นขึ้น ตรงนี้ก็น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน เพียงแต่ยังต้องจับตาดูนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ เพราะอาจทำให้ไทยไม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ



“คนหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น ดังนั้นเราก็น่าจะได้อานิสงส์จากตรงนี้ด้วย แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า นโยบายของทรัมป์ที่เน้นว่า America First ดังนั้นสิ่งที่ spillover อาจไม่ได้มากเท่าเดิม”



ศก.ไตรมาสแรกยังโตอืด



อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทบไทยแน่นอนจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ คือ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง และผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยีลด์) พุ่งขึ้นอีกรอบ สะท้อนถึงต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นด้วย



นายกำพล กล่าวว่า ในส่วนของเงินบาทแม้อ่อนค่าลง แต่อาจไม่ได้ช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยมากนัก เพราะถึงเงินบาทจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่การอ่อนค่าอาจน้อยกว่าสกุลเงินอื่น ผลต่อการส่งออกก็อาจไม่ได้มาก ซึ่ง บล.กสิกรไทย มองว่า การส่งออกไทยปีนี้ น่าจะขยายตัวในระดับ 2-3%



“ถ้าจะหวังว่า บาทอ่อนแล้วเศรษฐกิจดีขึ้นคงยาก เพราะคนอื่นเขาก็อ่อน และอาจอ่อนมากกว่าเราด้วย เพียงแต่สินค้าไหนที่เคยส่งไปสหรัฐอยู่แล้ว ก็อาจได้อานิสงส์ตรงนั้น”


สำหรับประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปีนี้ บล.กสิกรไทย ประเมินว่า จะขยายตัวได้ในระดับ 3.5% ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยเศรษฐกิจช่วงไตรมาสแรกอาจยังฟื้นตัวล่าช้า แต่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นไป


ต่างชาติส่อลดถือดอลลาร์



ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ระบุว่า ดัชนีดอลลาร์ ร่วงลงจาก ระดับ 101.90 สู่ระดับ 101.60 ส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักๆ โดยเฉพาะค่าเงินยูโร แข็งค่าขึ้นทันที 0.4%ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น 0.38% การอ่อนค่าดังกล่าว เกิดขึ้นหลังตลาดผิดหวังจาก รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงในเดือนก.พ. ที่โตเพียง 0.2% จากเดือนก่อน น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์มองไว้ที่ 0.3%



การที่ตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าว ไม่ออกมาดีตามที่ตลาดคาดหวังไว้ทั้งหมด ส่งผลให้เกิดแรงเทขายทำกำไร ค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. ทะยานสูงขึ้นต่อเนื่อง และยอดการจ้างงานเอกชนที่ออกมาดีเกินคาดออกมาเมื่อวันพุธที่ผ่าน มองว่าตลาดในระยะสั้นก่อนการประชุมของเฟดในวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ อาจจะมีการปรับลดการถือค่าเงินดอลลาร์ลงบ้าง



คาดว่าค่าเงินบาทในสัปดาห์จะเผชิญกับความผันผวนมากขึ้น เมื่อเข้าใกล้การประชุมของเฟด อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทจะยังมีโอกาสที่จะอ่อนค่า หลังนักลงทุนต่างชาติต่างเทขายหุ้นและพันธบัตรไทย โดยขายสุทธิ 5 วันทำการ 2.5 หมื่นล้านบาท


stock-news