ขาลง “บิทคับ” และ "ท๊อป จิรายุส" / สุนันท์ ศรีจันทรา
บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ของ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ “ท๊อป” ตกเป็นข่าวฉาวอีกครั้ง หลังถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งลงโทษทางแพ่ง ปรับเป็นเงินรวม 24.16 ล้านบาท ฐานสร้างปริมาณการซื้อขายเทียมสินทรัพย์ดิจิทัล
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ก.ล.ต.ประกาศ ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ปรับผู้กระทำความผิด 4 ราย ฐานสร้างปริมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขาย สตางค์โปร เป็นเงินรวมกันทั้งสิ้น 24.16 ล้านบาท
ผู้กระทำผิด 4 รายประกอบด้วย บริษัทสตางค์ บริษัท LLC Fair Expo นายปรมินทร์ อินโสม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัท สตางค์ และ Mr. Mikalai Zahorski เจ้าของและกรรมการผู้จัดการ บริษัท LLC Fair Expo โดยส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขาย Satang Pro
ก.ล.ต. พบว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัท LLC Fair Expo ได้ส่งคำสั่งจับคู่ซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี จำนวน 3 เหรียญได้แก่ Bitcoin (BTC) Ethereum (ETH) และ Ripple (XRP) โดยเป็นการจับคู่ซื้อขายกันเองในบัญชีซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของ Market Maker ในศูนย์ซื้อขาย Satang Pro ซึ่งการจับคู่ซื้อขายกันเองในแต่ละเหรียญดังกล่าว มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 96 – 99 ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของบัญชีซื้อขายของ Market Maker หรือคิดเป็นร้อยละ 81 – 97 ของปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด
ก.ล.ต.ยังใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ปรับผู้กระทำผิด 3 ราย ฐานสร้างประมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัล ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด เป็นเงินรวมกัน 24.16 ล้านบาท
ผู้กระทำผิด 3 รายประกอบด้วย บริษัท บิทคับ นายอนุรักษ์ เชื้อชัย และนายสกลกรย์ สระกวี ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัทบิทคับ
ก.ล.ต. พบว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นายอนุรักษ์ได้ส่งคำสั่งจับคู่ซื้อขายเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี จำนวน 4 เหรียญ ได้แก่ Bitcoin (BTC) Bitcoin Cash (BCH) Ethereum (ETH) และ Ripple (XRP) โดยเป็นการจับคู่ซื้อขายกันเองในบัญชีซื้อขายเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีของตนเองในศูนย์ซื้อขาย Bitkub ซึ่งการจับคู่ซื้อขายกันเองในแต่ละเหรียญดังกล่าว มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 84 – 99 ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของนายอนุรักษ์ และตั้งแต่ร้อยละ 57 – 99 ของปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกจากลงโทษปรับแล้ว ยังกำหนดให้ผู้กระทำผิดห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 6 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
การสร้างปริมาณการซื้อขายเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีหรือ COIN เทียม เป็นการสร้างภาพลวงตา เหมือนการปั่นหุ้น ที่มีการโยนคำสั่งซื้อขาย และลากราคาหุ้น เพื่อหลอกต้มนักลงทุนทั่วไปให้เข้าใจว่า หุ้นกำลังจะขึ้น
แต่การสร้างปริมาณการซื้อขายเทียมคริปโต มีเป้าหมายเพื่อสร้างภาพลวงตาว่า COIN มีการซื้อขายที่คึกคัก เพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนแห่เข้ามาซื้อขายตาม ซึ่งจะทำให้บริษัท สตางค์และบริษัท บิทคับ ออนไลน์จึงมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขาย COIN มากขึ้น
“บิทคับ ออนไลน์” เจ้าของศูนย์ซื้อขายหรือโบรกเกอร์ซื้อขายคริปโทรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่อย่างต่อเนื่อง ถูก ก.ล.ต. สั่งลงโทษปรับในความผิดต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
ขณะที่นายท๊อป จิรายุส เริ่มถูกตั้งคำถามจากสังคม และภาพการเป็นเจ้าพ่อคริปโต กำลังเปลี่ยนเป็นภาพพ่อมดเงินดิจิทัล ซึ่งมุ่งแต่กอบโกยกำไรสูงสุด โดยไม่ตระหนักถึงการมอมเมาเยาวชนให้หมกมุ่นเก็งกำไรคริปโต
เพราะท๊อป จิรายุส พุ่งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้า “บิทคับ” ในหมู่นักเรียนนักศึกษาและเยาวชน โดยทุ่มงบติดป้ายโฆษณาใหญ่มหึมาทั่วประเทศ เชิญชวนเก็งกำไร COIN ด้วยข้อความเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินไม่กี่สิบบาท
กัญชา แม้จะเปิดเสรีแล้ว แต่ทุกภาคส่วนพยายามป้องกันการเข้าถึงของเยาวชน แต่นายท็อป จิรายุส กลับพยายามเจาะกลุ่มเยาวชน หลังจากกลุ่มลูกค้ารุ่นเจน Y ย่อยยับกับการเก็งกำไร BITCOIN จนแทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
การประกาศซื้อหุ้น 51% ในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด วงเงิน 17,850 ล้านบาท ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ถือเป็นจุดรุ่งโรจน์สุดขีดของ “ท๊อป จิรายุส” แต่การเจรจาซื้อหุ้น “บิทคับ ออนไลน์” ขณะนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่า ตอนจบสุดท้าย ธนาคารไทยพาณิชย์จะถอย ประกาศล้มข้อตกลง
เพราะไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ไม่คุ้มที่ค่ายไทยพาณิชย์ จะนำชื่อเสียงและภาพลักษณ์มาเสี่ยงกับ “บิทคับ ออนไลน์” ซึ่งมีแต่ข่าวฉาวโฉ่ ภาพพจน์ติดลบมากขึ้นทุกวัน
ขาขึ้นของ ท๊อป จิรายุสผ่านไปแล้ว แต่ “ขาลง” กำลังวิ่งไล่ล่า และใครก็ตามที่หลวมตัวเข้าไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม “บิทคับ” จะพังตามไปด้วย รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอย่างน้อย 7 แห่งที่เข้าไปร่วมสังฆกรรมกับ KUBCOIN