เปิดโผ 5 หุ้นน่าลงทุน ประจำไตรมาส 4/66
พื้นฐานดี-กำไรแข็งแกร่ง
.
ใกล้จะสิ้นสุดไตรมาส 3/66 แล้ว ซึ่งช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนจากปัจจัยกดดันทั้งภายนอกและภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังและติดตามข้อมูลข่าวสารเพื่อนำมาประเมินการลงทุนอย่างใกล้ชิด
.
แต่ในช่วงไตรมาส 4/66 ที่ใกล้มาถึงนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์และเลือกหุ้นตัวไหน วันนี้ Wealthy Thai มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝาก
.
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ในไตรมาส 3/66 มีการพัฒนาเชิงบวก โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ มีน้อย หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พักการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพ.ย. 2566 จะช่วยสนับสนุนตลาดควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของกำไร
.
ทั้งนี้แม้ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับความท้าทาย แต่ฝ่ายวิเคราะห์พบสัญญาณเริ่มแรกของสินค้าคงคลังที่ลดลง และ ผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงจรยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และอาจนำไปสู่การกลับมาเริ่มเติมสินค้าคงคลังทั่วโลกอย่างช้าๆ ในไตรมาส 4/66 โดยกำไรของตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก
.
ดังนั้นในไตรมาส 4/66 กลยุทธ์การลงทุนของฝ่ายวิเคราะห์ คือ การโฟกัสไปที่หุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
โดยยังคงแนะนำหุ้นวัฏจักรที่มีความสัมพันธ์กับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูง ซึ่งจะได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำไร
.
สำหรับหุ้น Top Picks ในไตรมาส 4/66 ฝ่ายวิเคราะห์ได้คัดคุณสมบัติ 4 ข้อของหุ้นที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาดดังนี้
1. ฐานะการเงินดี ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงและความท้าทายเชิงมหภาคในวงกว้าง,
.
2.กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์และแรงกดดันด้านต้นทุนที่ลดลง โดยมีสัญญาณว่ากำไรทำจุดต่ำสุดไปแล้วในครึ่งปีแรก,
.
3.ได้รับผลกระทบจำกัดจากการใช้จ่ายทั่วโลกที่ชะลอตัว โดยเน้นไปที่ traffic growth และ 4. ได้รับประโยชน์จากการเติมสินค้าคงคลังของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเทคโนโลยี
.
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปจนถึงไตรมาส 4/66 เนื่องจาก อุปสงค์เติบโตช้า จึงคาดว่าหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแรงและกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างชัดเจนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด
.
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ยังคงชอบหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ เพราะอุปสงค์ในประเทศแข็งแกร่งกว่าอุปสงค์ต่างประเทศ จึงสนใจบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่และการเติมสินค้าคงคลังของจีน ดังนั้นหุ้นเด่นในไตรมาส 4/66 คือ
.
AOT ฝ่ายวิเคราะห์คาดมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีชั่นของภาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กำไรในไตรมาส 4/66 ถึง 1/67 เพิ่มขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีประเด็นบวกจากมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย
.
อย่างไรก็ดี มองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่เป็นบวกยังไม่ได้สะท้อนราคาหุ้น เนื่องจากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น ค่อนข้างทรงตัวสอดคล้องกับ SET แต่ยังปรับตัวตามหลังหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสให้เพิ่มสถานะการลงทุนได้ ให้คำแนะนำ tactical call ระยะ 3 เดือนที่ Outperform ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 84 บาท
.
BCH ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 3/66 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และทำจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 4/66 จึงยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้ที่ 1.4 พันล้านบาท
.
ขณะเดียวกันยังมีการปรับค่าบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5% สำหรับผู้ป่วยที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเองตั้งแต่เดือนพ.ค. และการปรับอัตราเหมาจ่ายรายหัวผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้น 10% (จาก 1,640 บาท/คน/ปี สู่ 1,808 บาท) มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พ.ค. 66
.
โดย BCH เทรดที่ PE ปี 2566 ที่ระดับ 35 เท่า และ PE ปี 2567 จะลดลงมาอยู่ที่ 29 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 41 เท่า จึงให้คำแนะนำ Outperform ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 23 บาท
.
CRC ฝ่ายวิเคราะห์คาดไตรมาส 3/66 ยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) มีแนวโน้มทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายในไทยเติบโตในอัตราชะลอตัวลง และยอดขายในเวียดนามหดตัวลงมากขึ้น หนุนให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลดลง 7%
.
ขณะที่คาดกำไรปกติในไตรมาส 3/66 จะลดลงจากไตรมาส 2/66 จากปัจจัยฤดูกาล และจะอยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลงจากไตรมาส 3/65 เพราะยอดขายธุรกิจค้าปลีกจะเติบโตในอัตราชะลอตัว ท่ามกลางอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในระดับสูง จากนั้นจะฟื้นตัวสู่ระดับที่ดีที่สุดของปีนี้ในไตรมาส 4/66 จากปัจจัยฤดูกาล ดังนั้นคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ CRC ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 48 บาท
.
KCE ฝ่ายวิเคราะห์มองผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 1/66 คาดครึ่งปีหลังกำไรจะเติบโตจากการขยายกำลังผลิตของผลิตภัณฑ์ Special grade PCB ที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น และต้นทุนที่คาดว่าจะลดลง โดยเฉพาะราคาทองแดงในตลาดโลกและค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลง
.
ทั้งนี้ Valuation น่าสนใจ หลังราคาหุ้น KCE ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต บวกกับราคาหุ้นของคู่แข่งอย่างเห็นสัญญาณฟื้นตัวแล้ว จึงมองราคาหุ้น KCE ยังไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่กำลังจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง และกลับมาเติบโต 54% ในปี 2567 โดยให้คำแนะนำ ทยอยสะสม ราคาเป้าหมาย 61 บาท
.
และ KTB ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะเป็นธนาคารที่มีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ขยายตัวมากที่สุดและคุณภาพสินทรัพย์ทรงตัวในปี 2566 สำหรับครึ่งปีหลังคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้น NIM จะขยายตัวต่อเนื่อง ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) จะอยู่ในระดับทรงตัว และ opex จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
.
โดยยังคงเลือก KTB เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร ให้คำแนะนำ Outperform และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 25 บาท เนื่องจาก valuation ถูก ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และ NIM จะขยายตัวมากที่สุด
