นับถอยหลัง “จุดจบ-ดอกเบี้ยขาขึ้น”...
“จุดเริ่มต้น” การกลับมาของ “หุ้นเติบโต” & “หุ้นจีน” รอบใหม่ !!!

.
Fun of Funds: แม้ตัวเลข “เงินเฟ้อ” อาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังมีโอกาสที่จะทรงตัวใน “ระดับสูง” ไปอีกระยะ และอาจใช้เวลานานกว่าจะกลับเข้าสู่ “ระดับปกติ”
.
นั่นทำให้ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) จะยังคงเร่งขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุล (QT) กดดันให้“ตลาดหุ้น” ยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงได้อีก!!!
.
ส่วน “หุ้นจีน” ก็มีมุมมองเชิงบวก หลังชัดเจนแล้วว่า “สี จิ้น ผิง” ได้เป็นประธานาธิบดี ‘สมัยที่3’ การเมืองมีเสถียรภาพ ที่พร้อมจะเดินหน้าสานต่อนโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่องจากนี้ไป
.
แม้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน กลุ่ม “กองหุ้นจีน”, “กองหุ้นสหรัฐ” และ “กองหุ้นเทคโนโลยี” จะปรับตัวค่อนข้างรุนแรง -30.7%, -35.0% และ -42.6% ตามลำดับ (ที่มา: Morningstar Direct, ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 22)
.
แต่จากแนวโน้มวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นที่ใกล้จะสิ้นสุดและการเมืองที่ชัดเจนของจีนก็ทำให้กลุ่ม “หุ้นเติบโต” (Growth) และ “หุ้นจีน” เองกลับมาอยู่ในเรดาห์การลงทุนที่น่าสนใจอีกครั้ง วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthythai’ มีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจมาอัพเดทให้ฟังกัน
.
มั่นใจ “หุ้นเติบโต” พื้นฐานระยะยาวยังแข็งแกร่ง...แต่ “ราคาหุ้นถูก” หลังเจอเทขายหนัก
.
ช่วงปลายเดือนต.ค. นี้ จะมีการประชุม “ธนาคารกลางยุโรป” (ECB) และ “ธนาคารกลางญี่ปุ่น” (BoJ) ระหว่างวันที่ 27-28 ต.ค. ซึ่งจะกำหนดทิศทางของราคาน้ำมันและตลาดหุ้นที่มีนัยสำคัญ เป็นปัจจัยที่ทำให้การลงทุนตลาดต่างประเทศยังคง “ผันผวน”
.
โดย “พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ มองว่า “เงินเฟ้อทั่วโลก” มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า หุ้นใน “กลุ่มเติบโต” (Growth) ที่มีคุณภาพและงบการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งยังคงความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมและมีศักยภาพในการสร้างการเติบโตที่โดดเด่นในระยะข้างหน้า ยังเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ จากข้อมูลของ “Goldman Sachs” พบว่าหุ้นกลุ่ม “Information technology” ของสหรัฐ เป็นกลุ่มที่ยังคงความสามารถในการสร้างกำไร (Margin) จากธุรกิจได้กว่า 20% อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ และโดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P500 ราวเท่าตัว
.
“ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวถูกเทขายลงมาค่อนข้างมากจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีมูลค่าที่สมเหตุผลยิ่งขึ้น หากอิงข้อมูลสถิติในอดีตมาประกอบพบว่า หลังการปรับฐานกว่า -25% ตลาดหุ้นสหรัฐ มีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นบวกโดดเด่นในช่วง 1 ปีให้หลัง โดยเฉลี่ยราว 21.6%”
.
ที่ผ่านมา “ราคาหุ้นเติบโตสูง” ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจากแรงกดดันด้านนโยบายการเงิน ทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันมีความสมเหตุสมผลมากขึ้นเทียบกับอดีต ขณะที่การเติบโตในระยะยาวยังโดดเด่น สามารถเติบโตไปกับ Mega trend ของโลกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ (New Normal) ของคน องค์กรรัฐ และภาคธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถสร้างการเติบโตของรายได้ที่ต่อเนื่อง (Real organic growth) เช่น มีนวัตกรรม นำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะตัว ทำให้มีความสามารถในการกำหนดราคาสินค้า และสามารถก้าวข้ามช่วงความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมหภาคได้ดีในระยะยาว จึงเป็นธีมที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
.
“หุ้นจีน” พร้อมทยานรับการกลับมาของ “สี จิ้นผิง”...ราคายังถูก-พบสัญญาณ ‘เงินเริ่มกลับเข้าลงทุน’
.
ในขณะเดียวกัน ยังมองเป็นโอกาสการลงทุนใน “หุ้นจีน” จากปัจจัยบวกด้านนโยบายเศรษฐกิจ แนวโน้มการผ่อนคลายการคุมเข้มบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลาย และการกลับเข้าสู่อำนาจของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ต่อเนื่องเป็น “สมัยที่ 3” ซึ่งช่วยหนุนเสถียรภาพทางการเมืองของจีน โดยคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐออกมาเพิ่มเติมอีกในระยะข้างหน้า ขณะที่ Valuation ในปัจจุบันค่อนข้างยัง Laggard กว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคโดย 12M Forward P/E ของดัชนี MSCI China อยู่ที่ราว 10 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยในภูมิภาคอยู่ที่ราว 12.6 เท่า
“นอกจากนี้ เริ่มมีสัญญาณว่านักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมาลงทุนในหุ้นจีนเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงมองเป็นโอกาสการกระจายการลงทุนใน ‘กองหุ้นจีน’ และถือลงทุนในระยะยาว”
.
จังหวะลงทุน “หุ้น Nasdaq” เทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีแล้ว...หลัง ‘ราคาร่วงแรง-แต่พื้นฐานยังแกร่ง’
.
ด้าน “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ มองว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นผู้นำนวัตกรรมใน “ดัชนี Nasdaq100” ซึ่งเป็น ‘หุ้นกลุ่มเติบโต’ ปรับลงมาแรง เพราะรับข่าวต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มคลี่คลายลง โดยมองว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะ “ใกล้จบ” เงินเฟ้อจะเริ่มอ่อนตัวลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Bond Yield น่าจะเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว และคาดว่าในปีหน้า Bond Yield จะเริ่มปรับตัวลง เนื่องจากมีโอกาสที่ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) อาจจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้า
.
“ปัจจุบันดัชนี Nasdaq100 ได้ปรับลงมาแรงถึง 34% เมื่อเทียบจากจุดสูงสุดในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2021 และเป็นการปรับตัวจากจุดสูงสุดลงมามากกว่าช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 เมื่อปี 2020 ขณะที่ปัจจัยบวกของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐในตลาดหุ้น Nasdaq ยังมีอยู่มาก โดยระดับราคาอยู่ในจุดที่น่าสนใจ เห็นได้จากอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ณ วันที่ 11 ต.ค. 22 อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่อยู่ที่ประมาณ 25 เท่า หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 1 SD ด้านข้อมูลจากนักวิเคราะห์ที่รวบรวมโดย Bloomberg (ณ วันที่ 11 ต.ค. 22) ก็คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี Nasdaq100 ปี2023 ยังสามารถเติบโตได้ถึง 12% จึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนจากราคาหุ้นที่ลงมาจนน่าสนใจ ขณะที่ข่าวร้ายในช่วงปีที่ผ่านมาจะเบาบางลง และจะเริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามามากขึ้น”
.
ใครที่มองหาธีมการลงทุนระยะยาว ในจังหวะที่ตลาดย่อลงมามากพอสมควร “หุ้นเติบโต” (Growth) และ “หุ้นจีน” เป็นอีก 2 ธีมการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะถ้าเป็นการลงทุนในกลุ่ม “กองทุนประหยัดภาษี” ไม่ว่าจะเป็น SSF หรือ RMF ก็ถือว่ามี “แต้มต่อ” ที่ดีเพิ่มเติมให้อีกด้วยสำหรับการลงทุนระยะยาวในช่วงโค้งสุดท้ายของปีเช่นนี้