สมัยนี้ใครก็สนใจลงทุนกัน บางคนก็ไปซื้อกองทุน เปิดพอร์ตหุ้นหรือบางคนนี่แอ๊ดวานซ์ไปลงทุนทองลงทุน Forex กันเลย หลายเคสประสบความสำเร็จจากการลงทุน แต่พอเราจะลงบ้าง กลับงงๆ จะเอาไงดี ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ที่พูดถึงกันเยอะๆก็คงเป็นหุ้น ลองไปเปิดพอร์ตดู โบรกก็ไม่พูดไม่จาใดๆ ส่งแต่ข้อมูลมาเป็นพรืด เลือกไม่ถูกเลยทีนี้ว่าจะลงตัวไหน
ถ้าให้พูดถึงเทคนิคพื้นฐานที่สำคัญในการเล่นหุ้นสำหรับมือใหม่แล้ว เราก็จะดูที่ปัจจัยพื้นฐานก่อน ซึ่งจริงๆแล้ววิธีเล่นหุ้นแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆด้วยกัน คือ
1.ปัจจัยพื้นฐาน
2.ปัจจัยเทคนิค
ทั้ง 2 แบบนี้แตกต่างกันอย่างไร?
การใช้ปัจจัยพื้นฐานมาดูหุ้นหรือที่เรียกกันว่าแนว VI คือเราจะดูที่ประกอบการของบริษัทว่ามีแนวโน้มดีไหม จากตัวเลขต่างๆในงบการเงิน ความน่าเชื่อถือของธุรกิจและการประเมินราคาว่าคุ้มค่าไหมที่จะลงทุน รวมไปถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวของหุ้น เช่น ภาวะเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ว่าเอื้อต่อการเติบโตของหุ้นตัวนั้นด้วยไหม
ส่วนการใช้เทคนิค จะเน้นที่การอ่านกราฟเป็นหลัก และไม่ใช่ว่ากราฟเดียวจะสามารถใช้กับหุ้นแล้วได้ผลลัพธ์เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งภาวะตลาดและตัวหุ้นเอง ซึ่งกราฟจะมีหลายรูปแบบ โดยจะเป็นข้อมูลสถิติในอดีตที่สามารถบ่งบอกถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด เพื่อจับสัญญาณว่าควรซื้อหรือขายตอนไหน
การลงทุนในเทคนิคมีความวี้ดว้ายวอแวพอสมควร ต้องมีเวลานั่งเฝ้ารอซื้อขายตามจังหวะสัญญาณ หากเป็นมือใหม่เราอาจจะดูไม่ทัน ดังนั้น เรามาดูอะไรที่เบาๆ ช้าๆอย่างปัจจัยพื้นฐานกันก่อนดีกว่าคะ
ขั้นแรก..ลองนึกว่าบริษัทที่ดีน่าลงทุนต้องเป็นแบบไหน
- ผลประกอบการดี
- มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
- การเงินมั่นคง
- ผู้บริหารเก่ง
- ราคาถูก
ขั้นที่สอง..แล้วจะดูจากที่ไหน อะไร อย่างไร?
แหล่งข้อมูลที่สามารถหาข้อมูลหุ้นได้ก็มีหลากหลาย ขอแนะนำเว็บไซต์หลักๆ สำหรับมือใหม่ นั้นคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) และ SETTRADE เราสามารถหาข้อมูลเกือบทั้งหมดของหุ้นได้จากที่นี้
แล้วต้องดูอะไรอย่างไรบ้าง เนื่องจากมีหุ้นในตลาด 700 ร้อยกว่าตัว ให้มานั่งจิ้มดูทุกตัวก็คงไม่ไหว เราต้องสโคปให้แคบลง สิ่งที่ช่วยกรองได้เบื้องต้น คือ SET 100, SET 50 และการจัดอันดับต่างๆและลองเลือกหุ้นที่เราสนใจออกมา จากนั้นนำมาพิจารณาเป็นรายตัว โดยดู 3 จุดสำคัญ คือ
1. งบการเงิน
ผลประกอบการดีมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและการเงินมั่นคง ดูได้จากบริษัทมีรายได้และกำไรต่อเนื่อง มีกระแสเงินสดหมุนเวียนเพียงพอ แนะนำให้เข้าไปดูที่ Fact sheet ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลบริษัทฉบับย่อไว้แล้ว
ตัวอย่างหุ้น BH หรือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จะเห็นได้ว่าบริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตสอดคล้องกัน โดยปกติเราจะดูย้อนหลังประมาณ 3-5 ปี ถ้าใครถนัด Excel สามารถเอาตัวเลขไปคำนวณหา เปอร์เซ็นอัตราการเติบโตได้
ค่าที่ได้อาจจะดูต่ำเนื่องจาก BH เป็นหุ้นใหญ่ทำให้เติบโตช้าลง หากค่าไม่ติดลบก็โอเคแล้วคะ
นอกจากนี้การพิจารณาที่อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio) ซึ่งเป็นการจับรายการในงบมาคูณๆหารๆกัน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราวิเคราะห์บริษัทได้ลึกซึ้งขึ้น
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
- ROA (Return on Assets) ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทสามารถนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรได้มาก
- ROE (Return on Equity) ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทสามารถนำเงินลงทุนของผู้ถือหุ้น ไปลงทุนสร้างกำไรได้มาก
- อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารมีความสามารถ
- อัตราส่วนเงินปันผล (Dividend Yield) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าเราได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูง
จากอัตราส่วนทางการเงินของหุ้น BH แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีแนวโน้มดี สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกำไรและจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง
2. ลักษณะธุรกิจ
การดูว่าผู้บริหารเก่งไหม นอกจากพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินได้แล้ว ยังสามารถพิจารณาที่กลยุทธ์และเป้าหมายของบริษัท และดูว่าบริษัทลักษณะการประกอบธุรกิจเป็นอย่างไร มีแนวโน้มเติบโตในอนาคตไหม ซึ่งอาจจะต้องอ่านข่าวภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมร่วมด้วย เข้าไปหาอ่านได้ใน Fact Sheetหรืออ่าน “บทวิเคราะห์” ในเว็บ SETTRADE
จากตัวอย่างหุ้น BH เป็นหุ้นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ มีกลยุทธ์ในการปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิทัล มีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ รวมทั้งการรักษาแบบเฉพาะบุคคล และจาก Mega Trend สังคมผู้สูงอายุ ทำให้หุ้นตัวนี้มีโอกาสเติบโตในอนาคต เพื่อให้เห็นภาพชัดเราควรเปรียบเทียบกับหุ้นที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน
3. การประเมินมูลค่า
เราสามารถประเมินมูลค่าหรือดูความถูก/แพงของหุ้นในขั้นพื้นฐานได้ง่ายๆ จากการใช้ P/E P/BV หากมีค่าต่ำ แสดงว่าหุ้นนั้นมีราคาถูก คืนทุนเร็ว คุ้มค่าที่จะลงทุน ทำให้เราเลือกซื้อหุ้นได้ในราคาที่เหมาะสม อาจจะนำไปเปรียบเทียบค่ากับหุ้นตัวอื่นหรือภาคอุตสาหกรรมด้วยก็ได้
หุ้น BH เองก็มีค่า P/E P/BV ที่ลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าตอนนี้ค่าจะดูสูง เนื่องจากหุ้นมีความน่าเชื่อถือ ในสายตานักลงทุนส่วนใหญ่ ทำให้ราคาพุ่งไปเกินมูลค่าจริงของบริษัทค่อนข้างมาก แต่หากมองในภาพรวมแล้ว BH ก็น่าจะเป็นหุ้นอันดับต้นๆ ที่ใครหลายคนอยากเริ่มต้นลงทุนไม่น้อย
ทั้งหมดเป็นเพียงขั้นตอนพื้นฐานในการเลือกหุ้นเท่านั้น หากต้องการวิธีเลือกหุ้นที่มือโปรเขาทำกัน คงต้องศึกษาเพิ่มเติม เราต้องแสวงหาแนวทาง สไตล์การลงทุนของตัวเองให้เจอ โดยส่วนตัวคิดว่าวิธีหาความรู้ที่ดีที่สุดมาจากการอ่านหนังสือ เพราะกว่าที่หนังสือจะออกมาเป็นเล่มได้นั้น คนเขียนต้องกลั่นกรองมาอย่างดีแล้ว และบทความนี้ก็ได้แรงบันดาลและวิธีคิดมาจากหนังสือเช่นกัน “การเล่นหุ้นอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด แต่ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้าไม่ลงมือทำ”
อ้างอิง: ติวหุ้นรวยด้วยวีไอ. นิ้วโป่ง Fundamental VI
Credit : https://www.set.or.th / http://www.settrade.com