ห้องเม่าปีกเหล็ก

แจงยิบศึก “ดุสิตธานี” ชี้หวั่น “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้าแทรกแซง

โดย นักเดินทาง
เผยแพร่ :
62 views

“ชนินทธ์ โทณวณิก”

แจงยิบศึก “ดุสิตธานี”

ชี้หวั่น “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้าแทรกแซง

ยันพร้อมใช้กฎหมายปกป้องสมบัติครอบครัว

.

 

“ชนินทธ์ โทณวณิก” จัดแถลงข่าวด่วนปมศึกสายเลือด “ดุสิตธานี” หลังพบวาระถอดชื่อพ้นกรรมการ เผยไม่ใช่แค่เรื่องภายในครอบครัว แต่เป็นความพยายามเปิดทางคนนอกเข้าควบคุมกิจการ ชี้กังวล "กลุ่มเซ็นทรัล" เข้าแทรกแซงกิจการ หลังพบความเชื่อมโยงในการเสนอชื่อกรรมการใหม่และเคยพยายามเข้าถือหุ้นใหญ่ พร้อมยืนยันจะใช้กฎหมายปกป้องดุสิตธานี ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ครอบครัวสร้างมากว่า 76 ปี หากใครเข้ามาทำให้เสียหาย

.

สืบเนื่องจากกรณีที่เช้านี้ (27 ส.ค.68) บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการกำหนดวันประชุมและวาระการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2568 โดยมีวาระสำคัญที่เรียกกระแสวิพากย์วิจารณ์ต่อแวดวงตลาดทุนเป็นอย่างมาก คือการพิจารณาอนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งกรรรมการบริษัท

.

อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลา 10.00 น. ของวันนี้ คุณชนินทธ์ โทณวณิก ในฐานะรักษาการประธานกรรมการ DUSIT ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในบริษัท โดยระบุว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ได้เริ่มต้นจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 32/2568 หรือการไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 แต่มีจุดเริ่มต้นหลังจากที่ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้เป็นมารดาได้ถึงแก่กรรม

.

ตามที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ฯ ได้มอบหมายให้คุณชนินทธ์เป็นเสาหลักในการดูแลกิจการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT และธุรกิจอื่น ๆ ของครอบครัวมานานกว่า 30 ปี โดยในอดีต อำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิงชนัตถ์ฯ คือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับคุณชนินทธ์ หรือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับคุณสินี เธียรประสิทธิ์ แต่เมื่อท่านผู้หญิงฯ ไม่อยู่แล้ว คุณชนินทธ์จึงเป็นผู้ลงนามหลักที่จะต้องลงนามร่วมกับคุณสินี หรือน้องคนเล็ก

.

อย่างไรก็ตาม น้องสาวทั้งสองคนของคุณชนินทธ์ได้ร่วมกันโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่มารดากำหนดไว้ ทำให้จากเดิมที่คุณชนินทธ์มีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับใครคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนเป็นการที่กรรมการสองในสามต้องลงนามร่วมกัน จากนั้นน้อง ๆ ยังได้ร่วมกันปลดคุณชนินทธ์ออกจากการเป็นกรรมการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงจากการเป็นกรรมการของบริษัทอื่น ๆ ในกองมรดก ซึ่งคุณชนินทธ์มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม จึงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของตน

.

ทั้งนี้ ในช่วงโควิด-19 ทั้งสามคนเคยตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน โดยมีข้อตกลงให้คุณชนินทธ์ได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานี) ส่วนน้องแต่ละคนจะได้หุ้นในบริษัทปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และบริษัท ธนจิรัง จำกัด (พัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) พร้อมนำทรัพย์สินอื่น ๆ มาชดเชยให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกัน แต่ภายหลังน้องทั้งสองคนได้เปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งคุณชนินทธ์เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจนี้น่าจะมาจาก “โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส” ที่เริ่มขายดีกว่าที่คาดไว้หลังโควิดสิ้นสุดลง

.

“ที่ผ่านมาไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวและยังหวังว่าการฟ้องร้องทางกฎหมายจะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย แต่ในวันนี้จำเป็นต้องออกมาพูดเพราะการกระทำแบบเดียวกันได้ขยายมาถึง บมจ.ดุสิตธานีแล้ว ก่อนหน้านี้ พวกเขาใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ บมจ.ดุสิตธานี แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย นอกจากนี้ ผมเห็นว่าผู้ที่จะต้องเสียหายไปด้วยก็คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตอบโต้ หรือทำอะไรได้เลย”

.

ทั้งนี้ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ได้วางหลักการในการบริหารธุรกิจ ที่เรายึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่แรก คือ “Business with Honor” นั่นก็คือ ต้องทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร เชิดชูความเป็นไทย ไม่ค้ากำไรเกินควร ยึดประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อนสิ่งอื่นใด ยึดผลประโยชน์และความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ มากกว่าจะเห็นผลประโยชน์ต่าง ๆ เฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ หรือกำไรระยะสั้น ๆ นี่คือรากฐานที่ทำให้ดุสิตธานีเป็นแบรนด์ไทยที่ทุกคนภาคภูมิใจ

.

“ท่านผู้หญิงฯ เน้นย้ำว่า เพื่อให้หลักการนี้คงอยู่ ครอบครัวลูกหลานของท่าน จะต้องเป็นผู้ดูแลและรักษาบริษัทไว้ต่อไป และนั่นคือที่มาของโครงสร้างการบริหารที่ท่านผู้หญิงฯ วางไว้ใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งสุดท้ายแล้ว เป็นที่น่าเสียใจและเจ็บปวดอย่างยิ่ง ที่คุณสินีและน้องอีกคนเห็นต่าง และเป็นผู้เปิดประตูเชิญชวนให้คนนอกที่ไม่เคยบริหารดุสิตธานีมาก่อนเข้ามามีอำนาจควบคุม บมจ.ดุสิตธานี ที่ยืนหยัดบริหารงานตามหลักการของท่านผู้หญิงชนัตถ์มาโดยตลอด”

.

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เนื่องจากมีการเสนอชื่อกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล และการเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอกที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จักดุสิตธานีอย่างแท้จริงมาก่อน โดย 2 ใน 3 ของกรรมการใหม่สามารถลงนามแทนบริษัทได้ ซึ่งเป็นการ เปิดทางให้คนนอกเข้าควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพันดุสิตธานีได้

.

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามผลักดันให้คุณชนินทธ์แบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT ออกเป็นสามส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้ง ๆ ที่ข้อบังคับของบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่าไม่ให้ขายหุ้นของชนัตถ์และลูกแก่คนนอกครอบครัว คุณชนินทธ์เห็นว่าการกระทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

.

ทั้งนี้ “กลุ่มเซ็นทรัล” เคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ DUSIT หลายครั้ง โดยครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นดุสิตธานีมากถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาใน “โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งต้องไปเจรจาขอให้กลุ่มเซ็นทรัลขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้ส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจมีความทับซ้อนกัน โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่แข่งขันกันโดยตรง ซึ่งเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์

.

อีกทั้งล่าสุด ยังทราบจากหลายช่องทางว่า กลุ่มเซ็นทรัล และ บริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสอง มีการหารือกันหลายครั้งเพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม โดยเข้าใจว่าวัตถุประสงค์อาจเพื่อเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการดุสิตธานี ซึ่งมองว่าไม่ถูกต้องและจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์อีกด้วย โดยปัจจุบัน โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส มียอดขายไปแล้วกว่า 92% เนื่องจากผู้ซื้อเชื่อมั่นในชื่อเสียงและการบริหารงานของดุสิตธานี แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและการโอนห้องชุดที่จะเริ่มในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

.

“เรากับกลุ่มเซ็นทรัลเป็นพันธมิตรร่วมกันในโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค และเซ็นทรัลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งในดุสิตธานี ซึ่งที่ผ่านมาผมเคยเจรจาขอร้องไม่ให้เข้ามานั่งในคณะกรรมการ เพราะธุรกิจเรามีการทับซ้อนกัน การที่วันนี้มีรายชื่อกรรมการใหม่ที่เชื่อมโยงกับพวกเขา ผมจึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลต่ออนาคตบริษัท ในความเห็นผม หากกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาควบคุม ความเสี่ยงคือ ทิศทางบริษัทอาจจะไม่เป็นอิสระ และอาจเสียเอกลักษณ์ที่เราสร้างมากว่า 76 ปี ผมเชื่อว่าดุสิตธานีควรเป็นแบรนด์ไทยที่ขับเคลื่อนด้วยเจตนารมณ์ดั้งเดิม”

.

สำหรับประเด็นข้อกล่าวหาว่าบริษัทขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด โดยการขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการใหญ่ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" มูลค่า 46,000 ล้านบาท การลงทุนในโครงการต่าง ๆ ก่อนโควิด และความพยายามประคับประคองกิจการในช่วงโควิด โดยที่บริษัทไม่เคยเพิ่มทุนหรือผลักภาระไปให้ผู้ถือหุ้น

.

“นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวทางธุรกิจ แต่เป็นรากฐานในการสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไป ปัจจุบัน โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ใกล้แล้วเสร็จสมบูรณ์ และโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ส่วนโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ที่ขายไปแล้วกว่า 92% จะทยอยรับรู้รายได้จากการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีรายได้เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังจะมีกำไรอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งรายได้เหล่านี้จะมาช่วยปลดภาระหนี้ที่ค้างอยู่ นอกจากนี้ เรายังพยายามสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีงามให้กับสังคม เช่น สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งนี่คือแนวคิดของผม ที่ต้องการสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพ ดังนั้น ความสำเร็จเหล่านี้ คือเครื่องพิสูจน์ว่า ดุสิตธานีกำลังจะก้าวผ่านช่วงที่ยากที่สุด และเดินสู่การเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง”

.

คุณชนินทธ์ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัว แต่คือ การปกป้องดุสิตธานีที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใสจากการถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม ดุสิตธานี คือ แบรนด์ไทย ที่ครอบครัวสร้างมากว่า 76 ปี และเป็นมรดกทางจิตวิญญาณที่ต้องรักษาไว้ การเปลี่ยนแปลงกรรมการโดยเสนอชื่อกรรมการใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มจาก 12 เป็น 18 คน และเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งสามารถทำให้อำนาจการควบคุมกิจการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหาร ซึ่งมองว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย

.

โดยการพยายามนำคนนอกที่ไม่เข้าใจความเป็นดุสิตธานีเข้ามาคุมอำนาจในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับหลายฝ่าย และอาจสร้างผลกระทบในทางลบอย่างมากต่อบริษัท ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของดุสิตธานีจะสร้างผลกระทบต่อเจ้าของโรงแรมเกือบ 300 แห่งทั่วโลกที่ไว้วางใจให้ดุสิตธานีบริหาร รวมถึงหุ้นส่วน ลูกค้าในโรงแรม และลูกค้าโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส กว่า 400 คนที่ซื้อห้องชุดด้วยความเชื่อถือในคณะกรรมการและผู้บริหารชุดปัจจุบัน

.

“ดุสิตธานีจะต้องเป็นบริษัทที่มีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอื่น จึงจะสามารถสืบสานเจตนารมณ์และหลักการที่ดีของท่านผู้หญิงชนัตถ์ฯ ในการเน้นเอกลักษณ์และความเป็นไทย ผมขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุน และยืนยันว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เพื่อรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม และอนาคตขององค์กร เพื่อให้ดุสิตธานียังคงเป็นแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัว ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และประเทศชาติ ผมให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ไปไหน และจะยังอยู่กับดุสิตธานีตลอดไป แม้จะถูกปลด ก็จะยังอยู่ในบทบาทอื่น และจะพยายามอย่างเต็มที่ในการกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารดุสิตธานีเหมือนเดิม พร้อมทั้งจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดเพื่อปกป้องดุสิตธานีไม่ให้ถูกยึดครองโดยมิชอบธรรม และจะทำหน้าที่จับตาและเฝ้าดูกรรมการและผู้บริหารใหม่ รวมถึงจะใช้สิทธิที่มีในการดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด หากใครก็ตามเข้ามาทำให้ดุสิตธานีเสียหาย” คุณชนินทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

ที่มา.  Wealthy Thai


นักเดินทาง