‘ติวเตอร์กองทัพมด’ อู้ฟู่พันล้าน แยกวงตั้ง 100 สำนักติวกลุ่มย่อย
ติวเตอร์รายย่อยปาดหน้าโรงเรียนกวดวิชา ใช้ช่องว่างกฎหมายเปิดบริษัทผลิตสื่อการเรียนการสอนกว่า 100 ราย ฟันรายได้หลักแสนถึง 1 ล้านบาท/เดือน จูงใจราคาถูก สอนที่ไหนก็ได้ จัดคอร์สตามใจลูกค้า รายใหญ่ตามจีบช่วยสอน-ออกแบบคอร์ส พร้อมทำการตลาดให้ยกเซต คาดมูลค่าตลาดนี้ขยายถึงพันล้านในอนาคต
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงเรียนกวดวิชาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ธุรกิจการศึกษาจะแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่องในหลายปีผ่านมา เนื่องจากผลพวงของประชากรเกิดใหม่ที่มีจำนวนลดลง จึงทำให้นักเรียนในระบบลดลงตามไปด้วย แต่ในมุมกลับกัน ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชากลับยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ “ติวเตอร์รายย่อย” ที่มาในรูปของ “บริษัทผลิตสื่อการเรียนการสอน” เข้ามาเป็นผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจกวดวิชา
พร้อมกับเดินหน้าโดยใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” ด้วยการ “ตีตลาด” ในพื้นที่ต่างจังหวัดก่อน เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และยอมรับ หลังจากนั้นจึงจะเข้ามาขยายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลตามเป้าหมายต่อไป ดังนั้น เมื่อสำรวจตลาดโรงเรียนกวดวิชาในเบื้องต้น ปรากฏว่ามีการจัดตั้งบริษัทผลิตสื่อการเรียนการสอนมากกว่า 100 ราย (รวมทุกรายวิชา) ส่วนหนึ่งเคยเป็นติวเตอร์ให้กับโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงมาก่อน อาทิ โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอ็นคอนเส็ปท์, เคมี อ.อุ๊, ออนดีมานด์ และเดอะเบรน เป็นต้น
ติวเตอร์ฟันรายได้หลักล้าน/เดือน
เหตุผลที่ติวเตอร์รายย่อยเข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดกวดวิชา คือ 1) ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่า เฉลี่ยอยู่ที่ 600 บาทต่อชั่วโมง (จากเดิมในปี 2012 อยู่ที่ 450 บาท/ชั่วโมง) แม้ว่าจะปรับค่าตอบแทน
ให้แล้วก็ตาม แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้น ยังมีแบ่งการสอนแบบกลุ่มอยู่ที่ 500-800 บาทต่อชั่วโมง สอนแบบเดี่ยวอยู่ที่ 500-700 บาทต่อชั่วโมงเท่านั้น แต่หากเป็นครูที่มีชื่อเสียง
จะได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่าติวเตอร์ธรรมดา และถ้าดังมากจะได้รับค่าตอบแทนในรูปของการเป็น “ผู้ถือหุ้น” อีกด้วย ในขณะที่โรงเรียนกวดวิชาสามารถปรับราคาคอร์สเรียนตามภาวะเศรษฐกิจ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ค่าตอบแทนติวเตอร์กลับไม่มีการปรับขึ้นให้อย่างเหมาะสม ดังนั้น เมื่อพวกเขาผันตัวมาเป็นติวเตอร์รายย่อย จึงทำรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 แสนบาท-1 ล้านบาทต่อเดือน
2) มองเห็นโอกาสตลาดกวดวิชาจากความต้องการ พฤติกรรม และทัศนคติของผู้เรียนที่ว่า การเรียนในระบบปกติไม่เพียงพอสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการ 3) การเปิดเป็นบริษัทผลิตสื่อการเรียนการสอน แทนการจดทะเบียนเป็นโรงเรียนกวดวิชา ทำให้คล่องตัว และบริหารต้นทุนได้ดีกว่า เพราะโรงเรียนกวดวิชาจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายคือระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานโรงเรียนเอกชน ประเภทกวดวิชา เช่น จัดส่งรายละเอียดอัตราค่าเล่าเรียนให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) อาคารสถานที่ใน
การสอนมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 100 ตารางเมตร การคมนาคมสะดวก ตั้งอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ต้องมีกรรมสิทธิ์ในอาคาร หรือมีสัญญาเช่าไม่น้อยกว่า 3 ปี ฯลฯ ถือเป็นต้นทุนสูง และติวเตอร์รายย่อยเป็นกิจการเล็ก ๆ แบกรับต้นทุนเหมือนกวดวิชาไม่ได้
“เมื่อประมาณการจากจำนวนของติวเตอร์รายย่อยที่เข้ามาตอนนี้ต้องบอกว่าปูพรมไปทั่วประเทศแล้ว หากคำนวณคร่าว ๆ ของติวเตอร์ที่เข้ามาตลาดสัก 10 ราย มูลค่าของเม็ดเงินก็จะมากกว่า 50 ล้านบาทแล้ว โดยปัจจุบันมีติวเตอร์รายย่อยมากกว่า 100 ราย ส่งผลให้ตลาดรวมมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ไปได้ไกลถึง 1,000 ล้านบาทได้ โดยเฉพาะตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัด”
ยิ่งระบบการศึกษาใหม่ที่มีการสอบแข่งขันกันอย่างสูงทุกมหาลัยและทุกจังหวัด เช่น TCAS จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย TCAS มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ TCAS มหาวิทยาลัยขอนแก่น TCAS มหาวิทยาลัยทักษิณ TCAS มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ TCAS มหาวิทยาลัยนครพนม TCAS มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ TCAS มหาวิทยาลัยนเรศวร TCAS มหาวิทยาลัยบูรพา TCAS มหาวิทยาลัยพะเยา TCAS มหาวิทยาลัยมหาสารคาม TCAS มหาวิทยาลัยมหิดล TCAS มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ TCAS มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ TCAS มหาวิทยาลัยศิลปากร TCAS มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ TCAS มหาวิทยาลัยสวนดุสิต TCAS มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ TCAS มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ TCAS มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี TCAS มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี TCAS มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง TCAS มหาวิทยาลัยแม่โจ้ TCAS สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย TCAS สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา TCAS สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา TCAS สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังจึงทำให้ธุรกิจกวดวิชาขนาดเล็กเติบโตเร็วมากในปัจจุบัน