ถือ EA ตั้งแต่ต้นปี ยังติดลบ 37%
โบรกฯ เสียงแตก แนะทั้ง “ซื้อ” และ “ถือ”
เมื่อยานยนต์ไฟฟ้าผลักดันการเติบโต

.
หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน เป็นอีกหนึ่งกระแสการลงทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ด้วยแนวโน้มการผันตัวหรือการเปลี่ยนแปลงของการใช้พลังงานแบบเก่าของนโยบายแต่ละประเทศที่ออกมาผลักดันการใช้งานพลังงานสะอาดมาก จึงทำให้กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มการที่ดีในอนาคต
.
รวมไปถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ที่หลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาพร้อมนโยบายการผลักดันของ EV ก็จนทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าว ได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนอีกครั้ง อาทิ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่ในวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมานี้ ที่มีปริมาณซื้อขายเข้ามาอย่างหนาแน่น
.
แต่อย่างไรก็ดี จากการสำรวจข้อมูลของทาง Wealthy Thai พบว่าความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ( ณ วันที่ 23 ส.ค.66) ยังคงติดลบอยู่ที่ 37.11% หรือลงมาอยู่ที่ระดับ 61 บาท ซึ่งการปรับตัวลงมาในครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้สะสมได้หรือไม่นั้น เราจะพาไปหาคำตอบกันในวันนี้ผ่านมุมมองผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
.
โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท เนื่องจากมูลค่าหุ้นในปัจจุบันที่ซื้อขายอยู่ในระดับที่ต่ำเทียบกับผลการดำเนินงานที่จะเติบโตได้ดี ตามยอดส่งมอบรถ E-Bus ที่ยังคงยืนยันที่ 3,000 คันในปี 2566
.
สำหรับการประมาณการกำไรปี 2566 จะอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 19% ซึ่งเป็นเติบโตในอัตราที่ช้าลง หลังจากกำไรที่จะลดลงจากธุรกิจไบโอดีเซลที่คาดจะอ่อนตัวต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามมองว่ายอดส่งมอบ EV Bus ให้กับ Thai Smile Bus จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 66
.
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้คำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 65 บาท โดยในระยะสั้น ผลการดำเนินงานยังมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นหลักและด้วยภายใต้ปริมาณขายไฟฟ้าในกลุ่มโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่ผลิตไฟได้น้อยลง ตามค่าความเข้มแสงที่อ่อนตัวและแรงกดดันจากค่า Ft จึงคาดว่าจะกดดันให้กําไรไตรมาส 3/66 ให้อ่อนตัวลง
.
แต่อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการปรับเพิ่มประมาณการกําไรปกติปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 8.1 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนการปรับปรุงสมมติฐานค่า Ft ใหม่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันโดยได้ปรับเพิ่มสมมติฐาน Ft ปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 1.04 บาท/หน่วย จากเดิม 0.4บาท/หน่วย ขณะที่ระยะยาวปี 2567 เป็นต้นไป ยังคงสมมติฐาน Ft ที่ 0.4 บาทเท่าเดิม
.
ขณะเดียวกันได้ปรับเพิ่มปริมาณส่งมอบรถ EV ในปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 2.7 พันคันจากเดิม 1.5 พันคันเพื่อให้สอดคล้องกับการส่งมอบรถ EV ในช่วงครึ่งปีแรกปี 66 ที่ 1.4 พันคัน และครึ่งปีหลังปี 66 ที่คาดจะส่งมอบได้ราวไตรมาสละ 600-800 คัน ตามมุมมองของผู้บริหาร
.
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงสมมติฐานส่งมอบรถ EV ในปี 2567 ไว้ที่ 1.6 พันคัน ภายใต้หลักอนุรักษ์นิยม เนื่องจากมองว่าภายหลังจาก EA ทยอยส่งมอบ B-EUS ราว 3.1 พันคัน ให้แก่กลุ่มลูกค้า BYD แล้วเสร็จในปี 2565-66 จะยังมีความเสี่ยงจากการหากลุ่มลูกค้ารายใหญ่กลุ่มใหม่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน