‘ค่ายบัตรฯ’ยันผ่านจุดต่ำสุด ลูกค้ากลับมาชำระตามปกติร่วม90%
นอนแบงก์” เผยหลังครบกำหนดพักชำระหนี้ “บัตรเครดิต” พบลูกค้าราว 80-90% กลับมาจ่ายหนี้ได้ตามปกติ “เคทีซี” ยืนยันเหลือลูกหนี้ที่ยังต้องรอดูสถานการณ์แค่เล็กน้อย มูลหนี้ไม่มาก ย้ำสถานการณ์ปัจจุบันผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
ดือนก.ค.ถือเป็นเดือนแรกที่ครบกำหนดการ “พักชำระหนี้” สำหรับลูกหนี้รายย่อยและต้องกลับมาชำระหนี้ตามปกติ โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งจากการสำรวจบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน(นอนแบงก์) พบว่า ลูกหนี้ราว 90% สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า ลูกค้า KTC ที่ขอเข้าโครงการพักชำระหนี้ในช่วงที่ผ่านมามีเพียง 100 คน ซึ่งภายหลังหมดโครงการพักชำระหนี้ พบว่าลูกค้าราว 80% สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ส่วนที่เหลือยังต้องติดตามดูสถานการณ์เป็นรายๆ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้จริงคงต้องยอมปล่อยให้กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งมูลหนี้กลุ่มนี้ถือว่าน้อยมากไม่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ
ส่วนลูกหนี้ที่ขอปรับโครงสร้างหนี้โดยขอลดดอกเบี้ยบัตรเครดิตเหลือ 12% ต่อปี และสินเชื่อบุคคล 22% ต่อปี นาน 48 เดือนนั้น ณ ขณะนี้มีผู้ขอเข้าร่วมโครงการราว 4 พันราย คิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้เป็นลูกหนี้ที่ยังสามารถชำระหนี้ได้อย่างน้อยใน 6 เดือนข้างหน้า จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหาใดๆ
“เราประเมินว่า แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า จะปรับตัวดีขึ้น หลังจากพบว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เริ่มดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ดังนั้นสถานการณ์ของบริษัทในขณะนี้ น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เพราะลูกหนี้ปัจจุบันยังมีความสามารถชำระหนี้ได้อยู่"
นางสาวณญาณี เผือกขำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ผู้ให้บริการบัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์,กรุงศรี เซ็นทรัล และเทคโก้เครดิตการ์ด กล่าวว่า หลังหมดโครงการพักชำระหนี้ พบว่า ลูกค้ากว่า 90% ที่เข้าโครงการสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทก็ได้เตรียมมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ (Refinance) เพื่อรองรับลูกค้าในกรณีที่ลูกค้าไม่สามารถรับภาระการชำระหนี้ได้ โดยบริษัทจะเปลี่ยนทุกยอดใช้จ่ายของบัตรเครดิตคงค้างเป็นยอดแบ่งชำระรายเดือน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ามียอดที่ต้องชำระต่อเดือนลดลง
อย่างไรก็ตามการประเมินผลการชำระหนี้ของลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ โดยดูจากจำนวนลูกค้าที่มาชำระหนี้ตามกำหนดและยอดหนี้ที่ชำระเข้ามาหลังหมดโครงการ คาดว่าในไตรมาสที่ 3 นี้ จะเห็นแนวโน้มการชำระเงินของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น โดยดูประกอบกับมาตรการที่รัฐบาลมีการผ่อนผันระยะที่ 5 และการหยุดพักชำระหนี้ของสินเชื่อประเภทอื่นๆ เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น ไปควบคู่กันด้วย
จากข้อมูล ณ 13 ก.ค.2563 มีจำนวนลูกค้าที่สนใจเข้าร่วม “โครงการเราจะก้าวผ่านไปด้วยกันกับกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ” ที่ดำเนินการในช่วงก่อนหน้านี้ โดยมีทั้งสิ้น 3 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 ปรับลดยอดผ่อนชำระขั้นต่ำโดยอัตโนมัติ – ลูกค้าของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยอัตโนมัติ มาตรการที่ 2 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยนานสูงสุด 2 รอบบัญชีแบบอัตโนมัติ โดยมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ รอบบัญชีที่ 1 (เดือนเม.ย.) จำนวน 729,527 บัญชี ยอดหนี้คงค้าง 29,845 ล้านบาท รอบบัญชีที่ (เดือนพ.ค.) จำนวน 745,576 บัญชี ยอดหนี้คงค้าง 30,481 ล้านบาท
มาตรการที่ 3 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ (Refinance) มีลูกค้าเข้าร่วมลงทะเบียนและได้รับการอนุมัติเข้าร่วมมาตรการแล้วจำนวน 80,142 บัญชี ยอดหนี้คงค้าง 3,356 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน10 % จากมาตรการที่2
นายนันทวัฒน์ โชติวิจิตร กรรมการบริหาร บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาบริษัทพบว่า มีลูกค้ามาขอรับความช่วยเหลือในโครงการพักชำระหนี้ สัดส่วนไม่ถึง 5% ของพอร์ตลูกค้าทั้งหมดที่มีกว่า 9.1 ล้านบัตร (ณ พ.ค.2563 ) ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าที่คาดไว้ตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการประเมินสถานะของลูกค้ากลุ่มนี้แต่ละราย โดยเปิดให้ลูกค้ากลุ่มที่ยังกลับมาชำระหนี้ต่อไม่ไหว สามารถมาขอรับความช่วยเหลือต่อเนื่องได้ตามแนวทางของธปท. ทั้งพักชำระหนี้และลดดอกเบี้ย เนื่องจากเรายังประเมินว่าสถานการณ์โดยรวมในช่วงไตรมาส 3 นี้ ยังคงมีความยากลำบากในหลายๆส่วน บางธุรกิจยังไม่ฟื้นกลับมา เช่น ท่องเที่ยวและการบิน และยังมีความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง ขณะเดียวกัน ตอนนี้บริษัทยังดำเนินธุรกิจอยู่ในช่วงไตรมาส2 ซึ่งต้องรอจบครึ่งปีแรกในช่วงไตรมาส 3นี้ก่อน ถึงจะเห็นแนวโน้มการชำระเงินของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น
ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 2563 บริษัทมีจำนวนลูกค้าสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นๆรวม 9.01 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน โดยแบ่งเป็นบัตรเครดิต 2.86 ล้านบัตร และบัตรสมาชิก 6.15 ล้านบัตร ขณะที่สาขารวมในปัจจุบันอยู่ที่ 104 สาขา ลดลง 1 สาขา จากไตรมาสก่อน
สำหรับสัดส่วนหนี้เสีย(NPL) ปัจจุบันอยู่ที่ 3.70% ของลูกหนี้การค้ารวม ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนจากการด้อยค่าต่อสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทฯ (NPL Coverage ratio) เพิ่มขึ้นจาก 119% เป็น 359%
นายฐากร ปิยะพันธ์ ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า สมาคมฯ คาดว่า จำนวนลูกหนี้ที่เข้ามาขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการธปท. น่าจะมีสัดส่วนราว 5-7% ของภาพรวมตลาด ซึ่งสิ้นสุดมาตรการระยะที่ 1 สิ้นเดือนมิ.ย.นี้ น่าจะมีจำนวนไม่มากที่ยังต้องช่วยปรับโครงสร้างหนี้ต่อเพื่อไม่ให้เป็นNPLส่วนรายใหม่ และในอนาคตก็น่าจะมีเข้ามาเพิ่มอีกไม่มากแล้ว แต่ยังต้องประเมินสถานการณ์ในภาพรวมหนี้ทั้งหมดของลูกค้าก่อน ว่ามีภาระเหลืออีกแค่ไหน ไปไหวหรือไม่ เพราะยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้านและรถที่จะหมดในเดือนต.ค. นี้ ดังนั้นรอสิ้นไตรมาส3 นี้ถึงจะเห็นแนวโน้มการชำระเงินของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก