ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘สภาพัฒน์’ แนะยกเครื่องประเทศไทย

โดย CUT
เผยแพร่ :
35 views

‘สภาพัฒน์’ แนะยกเครื่องประเทศไทย  แก้ 5 อุปสรรค เพิ่มโอกาสเศรษฐกิจเติบโต

By นครินทร์ ศรีเลิศ

  • สภาพัฒน์ชี้ว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง และการพัฒนาประเทศในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
  • ระบุ 5 อุปสรรคเชิงสถาบันที่ฝังรากลึกซึ่งเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
  • อุปสรรค 5 ด้าน ได้แก่ กฎหมายล้าสมัย, การทุจริตคอร์รัปชัน, หลักนิติธรรมอ่อนแอ, ประชาธิปไตยไม่มั่นคง และประสิทธิภาพภาครัฐต่ำ
  • เสนอให้ "ยกเครื่องประเทศไทย" โดยปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานในทุกมิติเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และสร้างโอกาสให้เศรษฐกิจเติบโต

 

 

โลกยุคปัจจุบันที่การแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศมีความรุนแรงจากปัจจัยเร่งในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันด้านเทคโนโลยี ความสามารถของการสร้างนวัตกรรม และผลิตภาพการผลิตของแรงงานในประเทศ น่าเป็นห่วงที่ศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ลดลงจากการชี้วัดในระดับโลก 

จากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD) ในปีล่าสุดพบว่า ไทยตกมาอยู่อันดับที่ 30 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ ลดลงถึง 5 อันดับจากปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นการบ้านใหญ่ของรัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่จะนำพาประเทศก้าวผ่านกับดักนี้ไปให้ได้

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ “สภาพัฒน์” ระบุว่าในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (2566-2570) รัฐบาลใช้วงเงินงบประมาณปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเมื่อพิจารณาดูจาก 3 ตัวชี้วัดระดับการพัฒนาของประเทศถือว่ายังพลาดเป้า ได้แก่

3 เป้าหมายพัฒนายังพลาดเป้า

1.เป้าหมายการเพิ่มรายได้เฉลี่ยของประชากรไทย ปัจจุบันอยู่ที่ 7,497.5 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ขณะที่เป้าหมายสิ้นปี 2570 คือ 9,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ห่างจากเป้าหมายกว่า 1,800 ดอลลาร์

2.เป้าหมายการพัฒนาคน โดยดัชนีความก้าวหน้าของคน (HAI) ยังไม่บรรลุเป้าหมาย โดยในปัจจุบัน HAI ของไทยอยู่ในระดับปานกลางคืออยู่ 0.6354 ขณะที่เป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2570 HAI ต้องอยู่ที่ระดับ 0.7209 ซึ่งอยู่ในระดับสูงซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายอยู่มาก

3.ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยอยู่ในระดับสูง โดยช่องว่างรายจ่ายระหว่างกลุ่มคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสูงสุด (10% บน) กับกลุ่มล่าง (40% ล่าง) อยู่ที่ประมาณ 5.22 เท่าในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้คือต่ำกว่า 5 เท่าภายในปี 25670

การจัดสรรงบประมาณเฉลี่ย 1 ล้านล้านบาทต่อปีนั้นกว่า 50% ถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล และการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นการทำงานในลักษณะที่เป็นงานปกติ (รูทีน) แต่ยังไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานคณะกรรมการสภาพัฒน์ เปิดเผยในงานสัมนาประจำปี 2568 ของสภาพัฒน์ว่า ประเทศไทยมีทุนพื้นฐานที่แข็งแกร่งหลายด้าน ทั้งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อุตสาหกรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน รวมถึงทุนทางวัฒนธรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ 

ด้วยศักยภาพเหล่านี้ ประเทศไทยควรจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูง มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนได้ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือในทุกวันนี้ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ตัวเลขต่างๆนั้นสะท้อนออกมาชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่จะขับเคลื่อนประเทศต่อไปข้างหน้า เช่นการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศที่ขยายตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาจากข้อมูลย้อนหลังพบว่า GDP ของไทยเติบโตต่ำ 5% ต่อปีมาเนื่องมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลักดันประเทศให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูงได้

ปัญหาประเทศไทย 5 ด้านฝังลึก

ดร.ศุภวุฒิอธิบายว่าจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไทยเผชิญอยู่หลายด้าน เป็นตัวฉุดรั้งที่ทำให้ประเทศไทยไม่อาจพัฒนาไปได้ไกล หากยังคงมีโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและสถาบันที่อ่อนแอ โดยมีปัญหาเชิงสถาบันที่ฝังรากลึก 5 ด้านสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ได้แก่

1.กฎหมายและกฎระเบียบล้าสมัย ปัจจุบันมีกฎหมายจำนวนมาก ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมถึงการใช้กลไกกฎหมายไปจำกัดโอกาสในการสร้างธุรกิจในบางอุตสาหกรรม กฎหมายจำนวนมากถูกตราขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

2.การทุจริตคอร์รัปชันฝังราก โดยมีการทุจริตมีอยู่และฝังรากลึก ซึ่งเป็นต้นทุนต่อภาคธุรกิจและประชาชน และบิดเบือนโครงสร้างแรงจูงใจ ทำให้การจัดสรรทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการที่ดีต้องแข่งขันกับผู้ที่ได้เปรียบจากการใช้อิทธิพล

3.ปัญหาหลักนิติธรรมไม่เข้มแข็ง ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่สร้างความไม่แน่นอน และลดทอนความน่าเชื่อถือของประเทศ เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมล่าช้าเกินความคาดหมาย การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สม่ำเสมอ และการตีความกฎหมายที่ไม่ชัดเจน

4.ประชาธิปไตยไม่มั่นคง ซึ่งรวมไปถึงการที่ไม่สามารถสร้างกติกาที่เปิดกว้างและเป็นธรรม จนอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสร้างการผูกขาดทางการค้า ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลที่บ่อยครั้งเกินไป ก็สร้างความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายของประเทศด้วย

5.ประสิทธิภาพภาครัฐต่ำ โดยการที่ไทยเราภาครัฐมีขนาดใหญ่ เทอะทะ มีต้นทุนสูง และเน้นการ “ควบคุม” มากกว่าการ “อำนวยความสะดวก” ทำให้การทำงานขาดนวัตกรรมและไม่สามารถตอบสนองการพัฒนาในภาพใหญ่ได้ ปัจจุบันประสิทธิภาพของภาครัฐ เราปรับตัวลดลงถึง 8 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 32 ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี

“ปัญหาทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดภาวะ Low Trust, Low Confidence, และ Low Accountability ซึ่งหากไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ผลประโยชน์จากการพัฒนาก็จะกระจุกตัวอยู่แค่บางกลุ่มเท่านั้น” ประธานสภาพัฒน์ กล่าว

ประเทศไทยจำเป็นต้อง “ยกเครื่องประเทศ” ครั้งใหญ่เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของประเทศในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม และสร้างศักยภาพใหม่ในการรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและไม่แน่นอนมากขึ้น

เป้าหมายต้องยกเครื่องประเทศ 

ทั้งนี้การ “ยกเครื่อง” ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อย แต่เป็นการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานในทุกมิติ ตั้งแต่ การปฏิรูปกฎหมาย ให้ทันสมัย เอื้อต่อการแข่งขัน และสร้างความเชื่อมั่น การเสริมสร้างหลักนิติธรรม ให้มีความชัดเจน เป็นธรรม และบังคับใช้ได้จริง 

การต่อต้านคอร์รัปชัน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง การสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และกติกาที่เป็นธรรม และการปฏิรูปภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพ คล่องตัว และตอบโจทย์ประชาชน”

“ประเทศไทยกำลังอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ เราสามารถเลือกที่จะยังคงเดินหน้าด้วยโครงสร้างเดิมที่บกพร่อง และยอมรับว่าจะเป็นประเทศรายได้ปานกลางไปตลอดกาล หรือเลือกที่จะ “ยกเครื่อง” อย่างจริงจังเพื่อปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริง ก่อนที่จะตกขบวนการแข่งขันในเวทีโลกอย่างถาวร”

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1206307

 


CUT