โบรกเกอร์ สแกน 10 หุ้นเด่น
รับธีมลงทุน การบริโภคในประเทศฟื้นตัว

.
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลกับ Wealthy Thai ว่า จากกรณีที่ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)เรื่องอัตราดอกเบี้ย และคาดการณ์เศรษฐกิจที่ออกมา สะท้อนภาพว่ากลุ่มหุ้น Domestic play ดูดีกว่า Global play
.
โดยสอดคล้องกับธีมการลงทุนหลักของในช่วงนี้ที่ให้เน้น Domestic & Defensive เช่น ธนาคารพาณิชย์, ค้าปลีก, สื่อสาร ท่องเที่ยว, โรงไฟฟ้า, อสังหาริมทรัพย์,และไฟแนนซ์แนวโน้มดอกเบี้ยหลังจากนี้ สำหรับหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์รอบนี้ได้แก่ BBL และ SCB ส่วนกลุ่มค้าปลีกได้แก่ BJC
.
ขณะที่หุ้นเด่นในกลุ่มสื่อสาร ยังคงยกให้ ADVANC เป็นตัวเด่น ด้านกลุ่มท่องเที่ยวเลือกกลุ่มสายการบินอย่าง AAV สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าแนะนำ GULF กับ GUNKUK ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวในระยะสั้น เช่น ORI และ SC ปิดท้ายที่กลุ่มไฟแนนซ์มองว่าในรอบนี้เป็นรอบของ TIDLOR
.
ประเด็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง.แบบค่อยเป็นค่อยไป ถือว่าไม่กระทบการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ต่อจากนี้การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งใจความสำคัญของเนื้อหาประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยวานนี้คือการปรับตัวเลขคาดการณ์การบริโภคภายในประเทศปีนี้ขึ้นเป็น 5.6% จากเดิม 4.9%
.
สำหรับความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL คาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวก หลัง กนง.ปรับดอกเบี้ยขึ้น 0.25% เป็น 1 % และ BBL เป็นธนาคารพาณิชย์แรกที่นำร่องปรับขึ้นดอกเบี้ย
.
โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 0.15-0.50% และดอกเบี้ยเงินกู้ 0.30-040% มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. เป็นบวกต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และคาดว่าธนาคารพาณิชย์ที่เหลือจะทยอยประกาศตามมา แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 คาดเติบโตจากปีก่อน และเติบโตจากไตรมาส 2/65 จากสินเชื่อ และการตั้งสำรองที่ลดลง เนื่องจาก Coverage Raio อยู่ในระดับสูง
.
ส่วน SCB การประชุมกนง. ช่วยสนับสนุนให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของกลุ่มธนาคารเร่งตัว ขึ้นในปีหน้า รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นอีกปัจจัยบวกต่อการเร่งตัวขึ้นของความ ต้องการใช้สินเชื่อคาดกำไรไตรมาส 3/65 โต 25% จากปีก่อน เป็น 1.1 หมื่นล้านบาท คาดว่าหลังปรับโครงสร้างเป็นบริษัท Holding จะเพิ่มศักยภาพเรื่องการกระจายธุรกิจให้มีความ คล่องตัวมากขึ้น หนุนให้ ROE เร่งตัวขึ้น ซื้อขาย PBV 0.7 เท่า ให้ Yield 5%
.
สำหรับหุ้นกลุ่มมค้าปลีก ที่แนะนำ คือ BJC เราคาดว่าหุ้น BJC มีโอกาสเข้า SET50, SET100 หากมีมูลค่าการซื้อขายต่อเดือนอย่างน้อย 81 ล้านหุ้น สำหรับเดือน ก.ย.. ต.ค. และ พ.ย. โดยเดือน ก.ย. ถึง 27 ก.ย. ซื้อขายรวมแล้วราว 68 ล้านหุ้น หาก 3 วันสุดท้ายของเดือนมีมูลค่าการซื้อขายรวมไม่ต่ำกว่า 13 ล้านหุ้นจะผ่านเกณฑ์สำหรับเดือน ก.ย. หรือราววันละ 145 ล้านบาท
.
แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 คาดเติบโตสูงจากฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุกธุรกิจของบริษัทได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคบริโภค และต้นทุน Commodities ที่ลดลง ในเชิงValuation ไม่แพงที่ PBV เพียง 1.14 เท่า
.
ข้ามมาที่กลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GUNKUL คาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์โดยตรง จากการเร่งผลักดันโครงการ Solar Rooftop ของภาครัฐฯ เนื่องจากเป็นผู้นำในธุกิจดังกล่าว จึงมีโอกาสได้ประโยชน์ทั้งจากงาน EPC และยอดขายแผง Solar ที่เพิ่มขึ้นปัจจัยหลักในการลงทุน คาดว่าบริษัทร่วมทุนระหว่าง GUNKUL-GULF มีโอกาสสูงที่จะได้โรงไฟฟ้าเพิ่มเติมจากการประมูลและเป็น Upside ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการของเรา
.
ส่วน GULF มองว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามีโอกาสฟื้นตัว หลัง Bond Yield สหรัฐฯ, อังกฤษ และยุโรปปรับตัวลง เนื่องจาก BOE ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป วงเงิน 6.5 หมื่นล้านปอนด์ ถึง 14 ต.ค. พร้อมขยายวงเงินและระยะเวลาจนกว่าตลาดพันธบัตรอังกฤษจะมีเสถียรภาพ
.
Dollar Index ที่อ่อนค่าลง คาดหนุนให้ตลาดหุ้น EM ฟื้นตัว และกลุ่มโรงไฟฟ้ามีปัจจัยบวกคือ ความคืบหน้าในการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่รวม 5,203 MW คาด ยื่นข้อเสนอขายไฟในเดือน พ.ย.- ธ.ค.2565 และประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติ ม.ค. 2566
.
ฟากหุ้นเด่น อสังหาฯ อย่าง SC ราคาหุ้นอ่อนตัวลงตามภาวะตลาด เคลื่อนไหวเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 3.70 บาท เราแนะนำทยอยสะสม เนื่องจากซื้อขายที่ PER 65 เพียง 6.5 เท่า และแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 ประเมินเบื้องต้นคาดที่ 600-700 ล้านบาทเติบโตทั้ง
.
ส่วนกำไรไตรมาส 4/65 คาดทำระดับสูงสุดรายไตรมาสของปี 2565 จากการรับรู้รายได้โครงการแนวสูง 3 โครงการมูลค่ารวม 1.3 หมื่นลบ. ซึ่งจะทยอยโอนตั้งแต่ไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป ขณะที่การเติบโตจากธุรกิจ Recuring เช่น คลังสินค้า, โรงแรม จะช่วยหนุนการเดิบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
.
TIDLOR เราคาดว่ากลุ่ม Finance มีโอกาสรีบาวน์ หลังราคาหุ้นปรับตัวลงรับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.แล้ว ขณะที่แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของไทยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 1.25% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2565 แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 คาดเดิบโตจากปีก่อน และประเมินว่าจุดเด่น คือ นโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยมี Coverage Ratio ที่ 270% มากกว่า MTC 126%, SAWAD 61% นอกจากนั้นต้นทุนทางการเงินยังต่ำสุดในกลุ่ม