ห้องเม่าปีกเหล็ก

Digital Finance เมื่อธนาคารกลางอาจไม่ใช่ผู้คุมเกมอีกต่อไป

โดย ร้อยลี้
เผยแพร่ :
32 views

Digital Finance เมื่อธนาคารกลางอาจไม่ใช่ผู้คุมเกมอีกต่อไป

.

รู้กันอยู่แล้วว่าดวงอาทิตย์คือศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล เป็นดาวฤกษ์เพียงดวงเดียวที่ดาวเคราะห์ทุกดวงต้องโคจรรอบ ดวงอาทิตย์มีแรงโน้มถ่วงมหาศาล และเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์และระเบียบของจักรวาลที่เราอาศัยอยู่

.

ระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) ก็ทำงานในลักษณะที่ไม่ต่างกัน โดยมี ‘ธนาคารกลาง’ (ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย) ทำหน้าที่เหมือนพระอาทิตย์ โดยเป็นศูนย์กลางอำนาจที่ควบคุมนโยบาย, กำหนดอัตราดอกเบี้ย, และพิมพ์เงินตรา ซึ่งเป็นเหมือนพลังงานหล่อเลี้ยงดาวเคราะห์บริวารอย่างธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่น ๆ

.

แต่จะเกิดอะไรขึ้น... ถ้าวันหนึ่งในจักรวาลการเงินนี้ ไม่ได้มีดวงอาทิตย์แค่ดวงเดียว? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามี ‘ดาวฤกษ์’ ดวงใหม่ ๆ หรือ ‘กาแล็กซี’ อื่น ๆ ปรากฏขึ้นมา พร้อมกับแรงโน้มถ่วงในแบบของตัวเองที่ทรงพลังพอจะดึงดูดดาวเคราะห์ต่างๆ ให้หลุดออกจากวงโคจรเดิม?

.

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่มันคือโลกของ Digital Finance ที่กำลังเกิดขึ้นจริง และบทวิเคราะห์ของ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ด้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Business tomorrow เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มิ.ย. 2568 ได้เปิดมุมมองใหม่ช่วยให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทางดาราศาสตร์การเงินครั้งนี้ได้ชัดเจนขึ้น

 

 

------

สู่จักรวาลใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง (Decentralized Finance)

สิ่งที่ท้าทายอำนาจของ ‘พระอาทิตย์’ ดวงเดิมมากที่สุด คือปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังโลกการเงินดิจิทัล ดร.อนุสรณ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ว่า

.

"ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลให้ระบบการเงินมีแนวโน้มเป็นแบบกระจายศูนย์และเป็นดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องกำหนดมาตรการและนโยบายเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนบทบาทและอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการกำกับดูแลที่จะลดน้อยลงอย่างชัดเจน อันเนื่องมาจากลักษณะของระบบการเงินที่กระจายศูนย์"

.

Decentralized Finance หรือ DeFi คือ ‘กาแล็กซี’ แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยดาวฤกษ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Cryptocurrency, Blockchain, หรือแพลตฟอร์มทางการเงินต่างๆ ที่อนุญาตให้ผู้คนทำธุรกรรมกันได้โดยตรง ปรากฏการณ์นี้กำลังสั่นคลอนนิยามของ ‘ศูนย์กลาง’ ที่ธนาคารกลางเคยเป็นมาตลอดหลายร้อยปี

------

การตอบโต้ของดวงอาทิตย์ คือการสร้างดาวเคราะห์ดวงใหม่

เมื่อแรงโน้มถ่วงแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล ธนาคารกลางในฐานะศูนย์กลางเก่าจะปรับตัวอย่างไร? คำตอบอาจไม่ใช่การพยายามทำลายดาวดวงใหม่ แต่คือการ ‘สร้างดาวเคราะห์’ ดวงใหม่ของตัวเองขึ้นมาโคจรรอบ เพื่อรักษาอิทธิพลในจักรวาลใหม่นี้เอาไว้

.

“บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องทำงานเชิงรุกมากกว่าปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางหรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรได้รับการลงทุน ผลักดัน และเอาใจใส่มากกว่านี้ นอกจากนี้ อีกหนึ่งโจทย์ที่สำคัญคือการบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากการที่เราถือครองเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง ถือเป็นความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินโลกในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจทำให้สินทรัพย์เหล่านี้ด้อยค่าลง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องเร่งวางแผนเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว"

.

ดังนั้น CBDC คือความพยายามของธนาคารกลางในการสร้างสกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ทำงานบนเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึง และใช้งานได้สะดวกทัดเทียมกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ เป็นเหมือนการส่งยานสำรวจเข้าไปในกาแล็กซีแห่งใหม่ เพื่อเรียนรู้และหาทางอยู่รอดนั่นเอง

------

กฎฟิสิกส์ใหม่แห่งจักรวาลการเงิน

จักรวาลใหม่ย่อมต้องการกฎฟิสิกส์ชุดใหม่ การกำกับดูแลโลกการเงินดิจิทัลจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะหากเข้มงวดเกินไปก็จะเป็นการทำลายนวัตกรรม แต่หากปล่อยปละละเลยเกินไปก็อาจสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบทั้งหมด ดร.อนุสรณ์ ได้ให้หลักการที่น่าสนใจว่า เป้าหมายของการกำกับดูแลในยุคนี้ต้องเปลี่ยนจากการ ‘ควบคุม’ มาเป็นการ ‘เสริมสร้าง’ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มโอกาสให้กับคนส่วนใหญ่

.

“การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และต้องส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริงในอุตสาหกรรมการเงินและธนาคาร ไม่ให้มีลักษณะเป็นการผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประชาชน”

.

นี่คือการเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น ‘ผู้ควบคุม’ แต่เพียงผู้เดียว มาสู่การเป็น ‘ผู้ดูแลรักษาสมดุล’ ของจักรวาล เพื่อให้ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ทั้งเก่าและใหม่สามารถโคจรอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

------

อนาคตของจักรวาลการเงินไทย

ท้ายที่สุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางดาราศาสตร์การเงินที่เกิดจาก Digital Finance นั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่มันกำลังบีบให้เราต้องกลับมาตอบคำถามที่พื้นฐานและสำคัญที่สุดว่า "เรามีระบบการเงินไว้เพื่ออะไร?"

.

แน่นอนว่าเราไม่ได้ต้องการนวัตกรรมทางการเงินเพียงเพื่อให้มีแอปพลิเคชันที่สวยงาม หรือเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับบริษัทเทคโนโลยีไม่กี่แห่ง แต่เราต้องการมันเพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในชีวิตของผู้คน และหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของสังคมไทยก็คือ ‘หนี้ครัวเรือน’

.

ที่ผ่านมา เราอาจจะพอใจกับตัวเลขเสถียรภาพทางการเงินที่ดูดี แต่ ดร.อนุสรณ์ ได้ชี้ให้เห็นความจริงที่น่าเจ็บปวดว่า เสถียรภาพนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เกิดจากนโยบายที่เข้มงวด ท่านจึงได้เสนอ ‘พันธกิจใหม่’ สำหรับนโยบายการเงินในอนาคตไว้ดังนี้

.

“สำหรับสภาวะหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างยาวนานนั้น เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด แต่ไม่ได้เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นจนทำให้ประชาชนมีรายได้ และศักยภาพในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนผลลัพธ์ให้เป็นเช่นนั้นให้ได้ ซึ่งหมายความว่านโยบายการเงินต้องมีส่วนช่วยในการเพิ่มผลิตภาพให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือนด้วย เราจึงจำเป็นต้องมองนโยบายการเงินในมิติของการสร้างผลิตภาพ ไม่ใช่เพียงมิติของเสถียรภาพอย่างเดียว"

.

คำพูดนี้คือการเปลี่ยนมุมมองต่ออนาคตของจักรวาลการเงินไทยอย่างสิ้นเชิง มันบอกเราว่าการเดินทางครั้งต่อไปไม่ใช่แค่การปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี แต่คือการใช้เทคโนโลยีและนโยบายเหล่านั้นเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า ดังนั้นคำถามสุดท้ายสำหรับเราจึงอาจไม่ใช่ว่าเราจะตามโลกทันหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราพร้อมที่จะเปลี่ยนปรัชญาของนโยบายการเงิน จากแค่การ ‘รักษาเสถียรภาพ’ ไปสู่การ ‘สร้างผลิตภาพและคุณภาพชีวิต’ ให้กับคนส่วนใหญ่ในประเทศแล้วหรือยัง?

 

 

 

เนื้อหาที่มาจาก..  Business Tomorrow


ร้อยลี้