ห้องเม่าปีกเหล็ก

คิดก่อนเทรดหุ้น THAI อะไรที่ต้องเจอเมื่อเข้าฟื้นฟูกิจการ

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
61 views

คิดก่อนเทรดหุ้น THAI อะไรที่ต้องเจอเมื่อเข้าฟื้นฟูกิจการ

ราคาหุ้นการบินไทยหรือ THAI ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง จนช่วงปิดตลาดเช้าวันนี้หุ้น THAI อยู่ที่ 5.80 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 7.41% การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกในภาวะตลาดหุ้นที่กำลังฟื้นตัวอย่างร้อนแรง แต่ประเด็นที่น่าคิดคือ THAI เป็นบริษัทที่ประสบปัญหาอย่างหนัก ทั้งจากภายในที่มีเรื่องของโครงสร้างองค์กร การขาดทุนอย่างต่อเนื่อง COVID-19 เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้บริษัทไปต่อไม่ไหว กระบวนการเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการจึงเกิดขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า THAI อนาคตจะเป็นอย่างไร และผู้ที่ถือหุ้น THAI ต้องเจอกับความเสี่ยงอะไรบ้าง หากเขามาเทรดเล่นๆ แล้วเกิดติดหุ้น หรืออยากถือยาวกับหุ้นสายการบินแห่งชาติ

 

THAI อาจถูก SP แต่ยังไม่ใช่เวลานี้            

 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ผู้ลงทุนหุ้น THAI กังวลว่าจะถูก SP ไหม วานนี้ราคาหุ้น THAI ใกล้เคียงที่จะ Ceiling ทีเดียว หลังมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดสินให้ THAI เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้มละลาย แต่ไม่ได้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงรายละเอียดของแผนฟื้นฟูกิจการ แต่เป็นประเด็นที่นักลงทุนเป็นห่วงว่าจากนี้ไปมีโอกาสไหมที่ THAI จะถูกสั่งหยุดซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (SP) เพราะจะเป็นความเสี่ยงมากในการเข้าซื้อหุ้น THAI ถ้าเป็นเช่นนั้น
  

บริษัทได้เลื่อนการส่งงบการเงิน 1Q63 ถือว่าเป็นการถอดสลักชั่วคราว ประเด็นสำคัญคือ การขอเลื่อนส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 63 ออกไป จนถึงวันที่ 14 ส.ค.63 กับตลาดหลักทรัพย์ฯ จากเส้นตายเดิมคือ 15 พ.ค.63 ถือว่าเป็นการถอดสลักที่สำคัญไประยะหนึ่ง ทำให้ประเด็นการที่จะถูกพิจารณาต่างๆ ก็ถูกเลื่อนออกไปโดยปริยาย
  

ความเสี่ยง เมื่อถึงเวลาส่งงบการเงิน มีความเป็นไปได้หลายกรณี อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่ความเสี่ยงเมื่อมีการแสดงบการเงินภายใน 14 ส.ค.63 ก็จะเป็นไปตามกรณีต่างๆ ได้หลากหลายกรณี ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป
  

กรณีงบการเงินไม่ถูกต้อง ในกรณีนี้จะถูกตลาดหลักทรัพย์สั่งให้หยุดการซื้อขายเป็นเวลา 3 เดือน และเปิดให้กลับมาซื้อขาย 1 เดือน แล้วหยุดการซื้อขายต่อโดยจะต้องแก้ไขงบการเงินให้มีความถูกต้องแล้วเท่านั้น จึงจะกลับมาซื้อขายได้
  

กรณีส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ ต้องรองบปี เช่น ในงวดสิ้นปี 62 THAI มีส่วนผู้ถือหุ้นเป็น 11,766 ล้านบาท แต่ผลกระทบจากโอกาสที่จะเกิดขาดทุนสุทธิเป็นจำนวนมาก จากการหยุดให้บริการการบินจากโรคระบาดโควิด-19 ก็อาจจะทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นงวด 2Q63 อาจถึงกับติดลบได้ แต่ปรากฏว่าตามเกณฑ์แล้วจะต้องเป็นงบการเงินสิ้นงวดปี ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีแล้ว ดังนั้นถึงแม้ ณ สิ้น 2Q63 ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบก็จะยังไม่ถูกหยุดการซื้อขาย แต่ก็จะเริ่มมีสัญญาณของความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
  

กรณีผู้สอบบัญชีไม่ให้ความเห็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะสั่งให้ขึ้นเครื่องหมาย SP ไป 1 วันก่อน หลังจากนั้นจะกลับมาให้ซื้อขายหุ้นได้ และติดเครืองหมาย NP (Notice Pending) จนกว่าผู้สอบบัญชีจะกลับมาให้ความเห็นก็จะเปลี่ยนเครื่องหมายเป็น NR (Notice Received)
  

กรณีการติดเครื่องหมาย C จะต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสดเท่านั้น ตามเกณฑ์แล้ว หากส่วนผู้ถือหุ้นแสดงค่าที่น้อยกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว ซึ่ง ณ สิ้นปี 62 มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วเป็น 21,828 ล้านบาท แสดงว่ากึ่งหนึ่งจะมีค่าเป็น 10,914 ล้านบาท หาก ณ เวลานั้นส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่า ซึ่งพิจารณาแล้วก็จะมีโอกาสอยู่มาก การเข้าซื้อหุ้น THAI จะต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสดเท่านั้น (Cash Balance) อย่างไรก็ตามก็ยังไม่เข้ากรณีจะต้องถึงกับหยุดการซื้อขายหุ้นเลยทีเดียว
  

หลักทั่วไปของการขึ้นเครื่องหมาย SP มีหลายกรณี แต่ที่สำคัญคือ มีข้อมูลข่าวสารที่สำคัญที่อาจจะกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหลักทรัพย์ หรือต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือต่อการเปลี่ยนแปลงในราคาของหลักทรัพย์ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ได้รับรายงานจากบริษัท และอยู่ในระหว่างการสอบถามข้อเท็จจริง และรอคำชี้แจงจากบริษัท หรือกรณีบริษัทไม่นำส่งงบการเงินให้ตลาดหลักทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนด หรือหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอน หรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานภาพ เพื่อให้พ้นข่ายการถูกเพิกถอน เป็นต้น

 

สถิติชี้ บริษัทเข้าฟื้นฟูกิจการ กลับมาเทรดได้แค่ 44%

           

บล.ทิสโก้ จำกัด ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยพบว่า การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายเป็นเรื่องเจ็บปวดของผู้ถือหุ้น เพราะโดยหลักการทั่วไปแล้วจะต้องดำเนินการลดทุน ตัดส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมเพื่อรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก หลังจากนั้นจึงจะมีการเจรจากับเจ้าหนี้ ทั้งเรื่องแนวทางการฟื้นฟูกิจการและการปรับโครงสร้างหนี้ อาจมีทั้งการยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป การยกหนี้ดอกเบี้ยให้-จ่ายเฉพาะเงินต้น การลดเงินต้นให้บางส่วน (Hair-cut) การแปลงหนี้เป็นทุน การเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้ถือหุ้นรายใหม่ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดของแผนฟื้นฟูกิจการของแต่ละบริษัท ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะจากฝั่งของเจ้าหนี้

 

ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่ราคาหุ้นของบริษัท ที่มีแนวโน้มเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจนแทบจะไม่มีค่าเลย เพราะเป็นการสะท้อนความเสี่ยงในภาวะล้มละลายของกิจการ และความไม่แน่นอนของแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ ต้องใช้เวลานานในการพิสูจน์

 

จากการรวบรวมข้อมูลของเรานับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยื่นขอฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายกว่า 52 บริษัท แบ่งเป็น 1.บริษัทที่ฟื้นฟูกิจการไม่สำเร็จ ถูกเพิกถอนออกจากตลาดไปแล้ว 20 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 38% 2.บริษัทที่ยังอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ 9 บริษัท ซึ่งปัจจุบันถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ระงับการซื้อขาย และ 3.บริษัทที่ฟื้นฟูกิจการสำเร็จ สามารถกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ 23 บริษัท คิดเป็นสัดส่วนที่ 44% หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง และโดยเฉลี่ยจะใช้เวลาฟื้นฟูกิจการราว 7 ปี (ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP สูงสุด 18 ปี, น้อยสุด 1 ปี)

 

ในแง่ผลตอบแทนจากการลงทุน ราคาหุ้นของบริษัทที่กลับมาซื้อขายได้ในวันแรกจะเปิดกระโดดขึ้น โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยสูงถึง +30 เท่าจากราคาปิดก่อนขึ้นเครื่องหมาย SP อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นแนวโน้มราคาหุ้นส่วนใหญ่จะถอยหลังลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่าราคาปิด ณ วันซื้อขายวันแรกเกือบทุกบริษัท เฉลี่ย -75%

 

ถึงแม้การลงทุนในหุ้นที่ขอฟื้นฟูกิจการในอดีต จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงมาก หากสามารถฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยงที่สูงมากเช่นกัน ทั้งในแง่ของการสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมด และมีระยะเวลาการลงทุนที่ไม่แน่นอน ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงมากได้เท่านั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree