เทียบรายได้-กำไร ‘5 ยักษ์สุกี้ไทย’ จับตา ‘สุกี้ตี๋น้อย’ มีลุ้นขึ้นแท่นแบรนด์หมื่นล้าน ?
- บรรดายักษ์ใหญ่ธุรกิจสุกี้ส่งงบปี 2567 กันหมดแล้ว พบว่า “สุกี้ตี๋น้อย” มาแรงสุดๆ กำไรแตะพันล้านบาทสำเร็จเป็นปีแรก รายได้เฉลี่ยต่อสาขาก็มีสัดส่วนดีต่อเนื่อง
- ฝั่ง “เอ็มเค” เจ้าตลาดเบอร์ต้นต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องราคาและความคุ้มค่าที่ยังถูกตั้งคำถามจากผู้บริโภคบางส่วน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว เงินในกระเป๋าน้อยลง
- ส่วน “ลัคกี้สุกี้” เพิ่งมีอายุครบ 3 ปีเต็ม พร้อมกับรายได้ทะลุพันล้าน ปีนี้ตั้งเป้าโตอีกเท่าตัวทั้งในแง่รายได้และจำนวนสาขา จับตาตลาดสุกี้แมสปีนี้น่าจะดุเดือดกว่าเดิม
แม้อาหารประเภทสุกี้ชาบูจะไม่ใช่ “Everyday Food” ที่กินได้ทุกวัน แต่ตลาดนี้กลับมีผู้เล่นที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ย้อนกลับไป 20 ปีก่อนหน้า ร้านสุกี้ชาบูมี “บิ๊กเพลย์เยอร์” เพียงไม่กี่ราย แต่หลังจากการมาถึงของ “สุกี้ตี๋น้อย” แลนด์สเคปสมรภูมิหม้อต้มก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ด้วยราคาที่จับต้องได้บวกกับจุดยืนแบบบุฟเฟ่ต์จึงให้ความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็เกิดร้านสุกี้ชาบูอีกนับสิบนับร้อยแห่ง โดยมี “สุกี้ตี๋น้อย” ขยับเข้าสู่ “Winning Zone” ในฐานะบิ๊กเพลย์เยอร์รายใหม่
ตั้งแต่ลั่นระฆังเปิดทำการในปี 2561 ผลประกอบการของสุกี้ตี๋น้อยภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เติบโตขึ้นทุกปี ปีล่าสุดมีรายได้ 7,075 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าราว 34% พร้อมกับกำไรสุทธิอีก 1,168 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีแรกที่ทำกำไรทะลุหลักพันล้านบาท
ขณะที่ตัวใหญ่อย่าง “เอ็มเค” เจอโจทย์หินมาหลายปี สะท้อนจากการเดินหมากของทายาทรุ่นที่ 2 ทั้งการจัดโปรบุฟเฟ่ต์ เพิ่มไลน์อาหารจานเดี่ยว และที่สร้างความฮือฮามากที่สุดน่าจะเป็นการตัดสินใจนำอาวุธลับบุกรีเทล ตั้งแต่น้ำจิ้มเอ็มเค ชุดผักเอ็มเค และเร็วๆ นี้ยังมีแผนนำบะหมี่เป็ดย่างแพ็คลงกล่องในรูปแบบ “Ready to eat” ด้วย

“MK” เจอศึกรอบด้าน ปรับตัวทุกอย่างแต่ยังฝ่าด่านเรื่องราคาไปไม่ได้
หลังจาก “ฤทธิ์ ธีระโกเมน” เจ้าพ่ออาณาจักรเอ็มเค กรุ๊ป ประกาศส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายปี 2567 ทิศทางธุรกิจสุกี้เบอร์ 1 ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการทำแคมเปญสื่อสารถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงแผนบุกรีเทลด้วยการดึง “Hero Product” ออกมาวางขาย
ในเชิงตัวเลข “เอ็มเค” ยังครองส่วนแบ่งตลาดสุกี้เกินครึ่งด้วยสัดส่วน 60% จากมูลค่าตลาดสุกี้ชาบู 23,000 ล้านบาท ทว่า ตัวเลขนี้ก็ไม่อาจทำให้บิ๊กแบรนด์นิ่งนอนใจได้ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา “เอ็มเค” ยืนหนึ่งเป็นเชนสุกี้เจ้าตลาดเพียงรายเดียว
แต่ภายหลังทศวรรษ 2560 การมาถึงของ “สุกี้ตี๋น้อย” ก็ถูกยกเป็นคู่เทียบกับเชนเจ้าตลาดเรื่อยมา เดินเกมด้วยกลยุทธ์บุฟเฟ่ต์ในราคาเอื้อมถึง ปักหมุดแบบป่าล้อมเมืองด้วยพื้นที่นอกห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก และที่สำคัญ โมเดลเปิดร้านลากยาวไปจนถึงเวลา 05.00 น. ยังเป็นข้อจำกัดที่สุกี้เจ้าตลาดไม่เคยทำมาก่อนด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ใต้ร่มใหญ่ตลาดสุกี้ชาบูเหมือนกัน แต่จุดยืนทั้งสองแบรนด์มีความแตกต่าง “เอ็มเค” จับกลุ่ม “Medium to high” ขณะที่ “สุกี้ตี๋น้อย” ครองตลาดแมส แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน กลุ่มกลางค่อนบนเองก็ถูกฝั่งแมสยื้อแย่งไปเป็นลูกค้าไม่น้อย
“เอ็มเค” เริ่มจับสัญญาณความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ ทำให้ปี 2567 ยักษ์สุกี้ตัดสินใจปล่อยไวรัลคอนเทนต์ออกมาหลายระลอก ภายใต้การสื่อสารที่ต้องการสร้างเอนเกจเมนต์-ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น ไล่มาตั้งแต่เปลี่ยนชื่อร้านเป็น “มงคล” (MongKol) รับเทศกาลตรุษจีน สร้างเทมเพลตกราฟิกน้ำจิ้ม แคมเปญสุกี้ชุดเมษารวมญาติ ทำเมนูสุกี้ผัดแห้ง และล่าสุดกับโปรโมชันบุฟเฟ่ต์ 299 บาท
ถึงอย่างนั้นก็ยังพบว่า กระแสตอบรับจากฝั่งผู้บริโภคไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวกมากนัก หลายคนมองว่า แคมเปญที่ออกมาเป็นการ “เกาไม่ถูกที่คัน” เพราะความท้าทายของเอ็มเค คือเรื่องราคาและคุณภาพสินค้าที่ผู้บริโภคบางส่วนมองว่า ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่า แม้จะมีโปรโมชันบุฟเฟ่ต์ 299 บาท แต่ความไม่พร้อมของส่วนงานโอเปอเรชันหลังบ้าน สร้างผลสะเทือนจนเกิดเป็นความเห็นเชิงลบมากกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะเดียวกันขนาดของธุรกิจเอ็มเคยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งเรื่องจำนวนสาขาที่ปัจจุบันมีมากถึง 448 แห่ง กับจำนวนพนักงานราว 25,000 คน เมื่อพลิกดูตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปีที่แล้ว “เอ็มเค” มีรายได้ 13,778 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,771 ล้านบาท พร้อมกับรายจ่ายรวมที่ 11,682 ล้านบาท
หากนำตัวเลขกำไรสุทธิมาคำนวณสัดส่วนต่อสาขาพบว่า ร้านเอ็มเค 1 แห่ง ทำกำไรได้ราว 3.9 ล้านบาท ขณะที่ฝั่งสุกี้ตี๋น้อยมีกำไรสุทธิ 1,168 ล้านบาท กับจำนวนสาขา 82 แห่ง (ตัวเลข ณ สิ้นปี 2567)
เท่ากับว่า หนึ่งสาขาของสุกี้ตี๋น้อยทำกำไรได้ราว 14 ล้านบาท เป็นไปได้ว่า นี่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เอ็มเคไม่สามารถดั๊มป์ราคามากกว่านี้ได้ แม้จะปรับเกมสู่สมรภูมิบุฟเฟ่ต์แล้วก็ตาม ด้วยปัจจัยเรื่องต้นทุนที่ยากจะควบคุม ซึ่งก็รวมไปถึงค่าเช่าพื้นที่ที่ส่วนใหญ่ปักหมุดอยู่ในห้างสรรพสินค้าแทบทั้งหมด
“สุกี้ตี๋น้อย” ม้าเร็วที่กำลังนับถอยหลังสู่หมื่นล้าน
สุกี้ตี๋น้อยเติบโตรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงเข้าสู่ปีที่ 3 ก็สามารถพาธุรกิจแตะระดับพันล้านสำเร็จ และยิ่งสเกลได้เร็วขึ้นไปอีกจากการเข้าถือหุ้นของกลุ่มเจมาร์ทด้วยสัดส่วน 30% ตั้งแต่เปิดทำการมาไม่มีปีไหนที่สุกี้ตี๋น้อยรายได้ลดลง และยังไม่มีปีไหนเผชิญกับสภาวะขาดทุน โตพุ่งทั้งรายได้และกำไรสุทธิต่อเนื่อง
“Key Success” ที่ทำให้สุกี้ตี๋น้อยประสบความสำเร็จ และกำลังไล่บี้เข้าใกล้ธุรกิจหมื่นล้านมากขึ้นเรื่อยๆ มาจากปัจจัยเรื่องความคุ้มค่า หรือ “Affordable Price” ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่เปิดตลาดด้วยราคา 199 บาท กระทั่งปัจจุบัน “สุกี้ตี๋น้อย” สนนราคาบุฟเฟ่ต์หัวละ 219 บาท ซึ่งถ้ารวมกับบุฟเฟ่ต์เครื่องดื่มและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ราคาของสุกี้ตี๋น้อยหนึ่งอิ่มจะอยู่ที่ราวๆ 276 บาทต่อคน
จริงอยู่ที่ทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียง “สุกี้ตี๋น้อย” ครองตลาดแมส มีสุกี้เชนรายอื่นเริ่มขยับขึ้นมาเป็นคู่แข่งด้วยราคาใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ทำให้สุกี้ตี๋น้อยยังเป็น “Top of mind” ในใจผู้บริโภค มาจากการสื่อสาร-สร้างแคมเปญผ่าน Owned media เพจเฟซบุ๊กสุกี้ตี๋น้อยมีเอนเกจเมนต์จากลูกค้าสูงมาก ทั้งคอมเมนต์ติชมการบริการรวมถึงเรียกร้องวัตถุดิบและเมนูหลายๆ อย่าง ซึ่ง “เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช” ผู้บริหารและผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย บอกว่า การรับฟังฟีดแบ็กของลูกค้า คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโต
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการเพิ่มช่องทางการจ่ายเงินผ่าน “SPayLater” ฟังก์ชันซื้อก่อนจ่ายทีหลังผ่านแพลตฟอร์ม “Shopee” สะท้อนถึงความเข้าอกเข้าใจอินไซต์กลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้มีกำลังซื้อมากมาย แต่มีใจอยากกินสุกี้และนึกถึงสุกี้ตี๋น้อยเป็นตัวเลือกแรกๆ มีส่วนช่วยสร้างแรงจูงใจ-กระตุ้นความถี่ในการกลับเข้าร้านได้
“ลัคกี้ สุกี้” ม้ามืดคู่ท้าชิงรายใหม่
ที่น่าจับตาอีกราย มีการเติบโตทะลุหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกปี คือ “ลัคกี้ สุกี้” หลังจากสุกี้ตี๋น้อยครองตลาดแมสอิ่มคุ้มราคาไม่เกิน 300 บาทมาพักใหญ่ อีก 3 ปีให้หลังก็มีร้านสุกี้สีแดงถือกำเนิดขึ้น โดยที่ผู้บริหารและหุ้นส่วนทั้ง 4 คน ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารมาก่อน แต่อยากลองทำธุรกิจสุกี้ดูสักตั้งเพราะเริ่มต้นจากความชอบของตัวเองล้วนๆ
รายได้ของลัคกี้ สุกี้ภายใต้การดำเนินงานของ “บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด” เติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 79 ล้านบาทในปี 2565 สู่ 409 ล้านบาทในปี 2566 และแตะ “1,015 ล้านบาท” ในปี 2567 พร้อมกับหน้าร้าน 19 แห่ง “แอน-รสรินทร์ ติยะวราพรรณ” หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านลัคกี้ สุกี้เคยให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จุดเด่นของลัคกี้ สุกี้อยู่ที่น้ำจิ้มและของทอด ใช้เส้นของตัวเองตั้งโจทย์ เรากินแบบไหนลูกค้าต้องได้กินแบบนั้น
สำหรับปีนี้ที่กำลังเข้าสู่ปีที่ 4 แอนบอกว่า เธอตั้งเป้าอยากโตอีกเท่าตัว ได้พันล้านมาแล้ว ปีนี้ต้องไปให้ถึง 2,000 ล้านบาท พร้อมกับการขยายสาขาอีก 20 แห่ง อนาคตถ้าอยากสเกลมากกว่านี้ ปั๊มสาขาใหม่เร็วกว่านี้ ก็อาจจะถึงคราวตกลงปลงใจกับนักลงทุนรายใหญ่ มองว่า เบื้องต้นอยากทำให้ถึง 40 สาขาด้วยการควักกระเป๋ากันเองก่อน แต่ในอนาคตจะมีการพูดคุยกับนักลงทุนเพิ่มเติมหรือไม่ ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต
อยู่มา 17 ปี “นีโอสุกี้” เพิ่งปัดฝุ่นครั้งใหญ่ในรุ่นที่ 2 “You&I” ก็เช่นกัน
ก่อนจะมีสุกี้ตี๋น้อย หรือลัคกี้ สุกี้ ปี 2551 มี “นีโอสุกี้” ถือกำเนิดขึ้น โดดเด่นด้วยสุกี้โฮมเมดที่มีน้ำซุปต้มยำเป็นตัวชูโรงเจ้าแรกในตลาด รวมถึงน้ำจิ้มที่มีให้เลือกมากถึง 7 รสชาติ ก่อนหน้านี้นีโอสุกี้มีสาขาเพียงไม่กี่แห่ง แต่หลังจากธุรกิจผลัดใบสู่ “ณัฐพล กัปปิยจรรยา” ทายาทรุ่นที่ 2 จึงปรับโฉมให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะน้ำซุปต้มยำและน้ำจิ้มที่มีให้เลือกมากขนาดนี้ก็เกิดขึ้นในรุ่นของ “ณัฐพล” ด้วย
ปัจจุบัน “นีโอสุกี้” มีทั้งหมด 22 สาขา อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 19 แห่ง มีสาขาที่ต่างจังหวัด 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี 2 แห่ง และจังหวัดเชียงใหม่ 1 แห่ง ส่วนตัวเลขผลประกอบการพบว่า ภาพรวมเติบโตขึ้นทุกปี ปี 2567 บริษัท นีโอ สุกี้ไทยเรสเทอรองส์ จำกัด มีรายได้ 280 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4.5 ล้านบาท พลิกกลับมาทำกำไรสำเร็จได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา หลังจากปี 2563 และ 2564 ต้องเผชิญกับสภาวะติดลบเพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ โดยสาขาส่วนใหญ่ของ “นีโอสุกี้” อยู่บนห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก
ฟากฝั่ง “You&I” ก็มีสตอรี่คล้ายคลึงกัน ตรงที่ธุรกิจก้าวกระโดดและอยู่ในความสนใจของตลาดอีกครั้งจากการยกเครื่องในรุ่นที่ 2 ทว่า ก่อนจะเป็นสุกี้พรีเมียม “You&I” เกิดและเติบโตจากธุรกิจร้านอาหารจีนในรุ่นพ่อ จนถึงมือของ “ยุพิน ชัยวิกรัย” ทายาทรุ่นที่ 2 ที่พลิกกระบวนท่าใหม่ เก็บทรัพยากรที่สำคัญอย่างพนักงานและวัตถุดิบไว้ เลือกจะเปลี่ยนทิศทางจากขายอาหารจีน สู่บุฟเฟ่ต์สุกี้พรีเมียมที่มีวัตถุดิบหลากหลายมากที่สุดเท่าที่เชนสุกี้เจ้าหนึ่งจะทำได้
ผลประกอบการของ บริษัท ยู แอนด์ ไอ กรุ๊ป จำกัด ปิดรายได้ปี 2567 ที่ 476 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา “You&I” เผชิญกับภาวะขาดทุนมาหลายปี โดยมีเพียงปี 2565 ที่ทำกำไรได้ 3.1 ล้านบาท ทว่า ธุรกิจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเกินกว่ารายรับที่มี จึงทำให้ร้านยังเจอกับสภาวะขาดทุนต่อเนื่อง
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1184068