พร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง…
ช่วงที่ผ่านมาที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นการปรับตัวสูงขึ้นเฉพาะในหุ้นบางกลุ่มบางตัว ดังนั้นผลตอบแทนจะขึ้นกับการเลือกหุ้นเป็นสำคัญ และก็จะมีหุ้นหลายๆตัวที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน สำหรับนักลงทุนที่ดี การมองความผิดพลาดและเรียนรู้เป็นบทเรียนเพื่อวางแผนการลงทุนในอนาคตนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ประเด็นแรงกดดันเรื่องความผิดหวังผลประกอบการแบงก์ เริ่มผ่อนคลาย ปัจจัยที่เคยกดดันก็แปรเปลี่ยนพลิกเป็นสนับสนุนได้ หลังเรื่อง Government Shutdown ของสหรัฐฯที่เคยกดดันบรรยากาศการลงทุน ล่าสุด วุฒิสภาสหรัฐฯมีมติให้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินที่จะใช้ได้ไปจนถึง 8 กพ. ทำให้ประเด็น Government Shutdown พลิกกลับเป็นบวกเพียงข้ามวัน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ แถลงรายงาน มูลค่าการส่งออกของไทยปี 2560 ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกเดือน ธ.ค.60 ขยายตัวเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันอีก 8.6% ทำให้ทั้งปีการส่งออกขยาย 9.9% ดีที่สุดในรอบ 6 ปี เป็นการยืนยันว่าเครื่องยนต์ตัวสำคัญที่สุดของประเทศกลับมาเดินเครื่องแล้ว และปี 2561 คือปีที่คาดหวังว่าจะเดินหน้าเต็มกำลังทำให้เศรษฐกิจของประเทศจะได้อานิสงส์จากการเติบโตของการส่งออก และถ้าการบริโภคในประเทศและการลงทุนเอกชนกลับมาดีขึ้น ก็จะเป็นการเดินหน้าพร้อมกันอีกครั้งของเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัว
ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เราจะปฎิเสธไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นรอบตัวโดยบางทีเราก็ไม่ทันสังเกต วันนี้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาท มีส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอด และพัฒนาต่อยอดให้สามารถเติบโตได้ในอนาคต
วันนี้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในธุรกิจขนาดใหญ่และมีผลต่อทั้งเศรษฐกิจภาพรวมและในตลาดหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังผู้บริหารประกาศแผนธุรกิจครั้งใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ที่สืบเนื่องมาจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะพลิกรูปโฉมของกระบวนการและการให้บริการแก่ลูกค้า
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญยังคงยึดแหล่งที่มาของรายได้หลักของธนาคารจากธุรกิจ 3 ส่วน (สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อเพื่อการบริโภค และการบริหารความมั่งคั่ง) แต่จะเน้นกระบวนการทำงานที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยการใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุน พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของทักษะและขีดความสามารถใหม่ๆ ของพนักงานในการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยมีเป้าหมายสูงสุดในอีกสามปีข้างหน้าเพื่อเป็น Digital Platform ขนาดใหญ่ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นหลัก เพื่อสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น โดยเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ผ่านการจัดโครงสร้างบริการของธนาคารและบริษัทในกลุ่มทั้งหมด
ซึ่งส่งผลให้จะมีการปรับลดจำนวนพนักงานของธนาคารลงเหลือเพียง 15,000 คน หรือประมาณ 60% จากปัจจุบัน ที่มีพนักงานอยู่ที่ 27,000 คน รวมไปถึงจะมีการปรับลดจำนวนสาขา ลงเหลือแค่ 400 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 1,153 สาขา โดยสาขาของธนาคารในอนาคตจะเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ และใช้พนักงานให้น้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนของการดำเนินงาน
แน่นอนการออกมาประกาศ แผนงานการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ ของ SCB ในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมหน้า และการแข่งขันในธุรกิจการเงินบ้านเราในอนาคตอันใกล้ และเชื่อว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆคงมีแผนที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่แล้ว อยู่ที่แผนงานของใครจะสามารถบรรลุเป้าหมาย และประสบความสำเร็จได้มากกว่ากัน เป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไปครับ
เรื่องการลงทุนก็เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญ ทั้งการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มากมายและรวดเร็ว ทำให้เกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วแม่นยำสูง ดังนั้นการปรับตัว ปรับพฤติกรรมการลงทุนให้สอดคล้องไปตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดขึ้นให้ได้ ก็จะสามารถเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จได้ในตลาดหุ้นแห่งนี้ครับ