ห้องเม่าปีกเหล็ก

กูรูชี้! เศรษฐกิจไทยโตเด่นกว่าโลก

โดย Forest
เผยแพร่ :
158 views

กูรูชี้! เศรษฐกิจไทยโตเด่นกว่าโลก

ตลาดหุ้นโค้งแรกยังสดใสมีลุ้นแตะ 1,740 จุด

แต่มอง DELTA อาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาด

 

.

2 โบรกฯ ผสานเสียง SET ไตรมาสแรก ยังสดใสขึ้น มีลุ้นแตะ 1,740 จุด รับแรงหนุนฟันด์โฟลว์ต่างชาติ แต่ระวังเเรงเทขายกำไร มองเศรษฐกิจไทยที่เติบโตโดดเด่นกว่าเศรษฐกิจโลก ส่วนความผันผวน DELTA อาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาด ถือเป็นระดับที่ยากจะอธิบายในมุมปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น DELTA 1% กระทบ SET Index 0.85 จุด

.

นาย เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 1/66 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นได้โดยประเมินเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,600-1,740 จุด บนสมมติฐาน Market Earning Yield Gap ที่ 4.2% ,EPS ที่ 99.2 บาท/หุ้น และคาดดอกเบี้ยฯ ปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.50 - 1.75%

.

โดยมีปัจจัยสนับสนุน ประกอบไปด้วยภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตโดดเด่นกว่าเศรษฐกิจโลก โดยคาด การณ์จะขยายตัว 3.8% มากกว่าเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวเพียง 2.6% โดยมีแรงหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังจากจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19

.

ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 คาดอยู่ที่ 1.27 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 99.2 บาท/หุ้น เติบโต 6% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม non – energy คาดเติบโตได้ถึง 11.7% และทิศทางฟันด์โฟลว์ที่มีแนวโน้มไหลเข้าจากค่าเงินบาทเสถียรภาพของเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า ตามดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

.

และความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายใหม่ๆ ยามเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจากสถิติในอดีตนับจาก 2544-2562 พบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 3.9%

.

แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่เป็นตัวจำกัดการขึ้นของดัชนี เริ่มจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่มีโอกาสสูงที่เข้าสู่ภาวะถดถอย สะท้อนจาก Bloomberg Consensus คาดโอกาสในยุโรปมากถึง 80% และสหรัฐฯ 65% ซึ่งสร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นภูมิภาครวมถึงบ้านเรา แม้ไทยโอกาสเกิด Recession อยู่ต่ำเพียง 13% ก็ตาม

.

สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยฯ ของ กนง. ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแคบลง โดยฝ่ายวิจัยฯ คาด กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยฯ ในปีนี้ไม่เกิน 2 ครั้งจากปัจจุบันอยู่ที่ 1.25%

.

ขณะที่การเก็บภาษีขายหุ้นที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นไตรมาส 2/66 ซึ่งน่าจะกระทบต่อทิศทางตลาดช่วงปรับสมดุลโดยเฉพาะช่วงก่อนเก็บภาษีจริง

.

นอกจากนี้ความผันผวนของ DELTA ที่อาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดหลังจากปรับขึ้นตั้งแต่ พ.ย.65 ถึงปัจจุบัน 45% จนระดับ PER 66F ขึ้นมาสูงถึง 64 เท่า (เทียบกับกลุ่มที่ PER66F เฉลี่ยอยู่ที่ 16 เท่า) ถือเป็นระดับที่ยากจะอธิบายในมุมปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น DELTA 1% กระทบ SET Index 0.85 จุด

.

อย่างไรก็ตามการขึ้นเกินระดับดัชนีที่คาดการณ์อาจจะต้องระมัดระวังขายทำกำไร โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นกำไรมีแนวโน้มเติบโตที่กระจายบน 3 Theme การลงทุน ธีมภาคาการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) STEC, COM7, ,HMPRO ,CBG และGULF ธีมจีนเปิดเมือง(China Play) AOT ,ERW ธีมหุ้นปันผล (Dividend Play) AP, ASK ,THANI และKTB

.

“ทรีนีตี้” ไตรมาส 1 ช่วงที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

ด้านดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้มุมมอง ตลาดหุ้นไทยปี 2566 จะแกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด หรือแนวรับที่ 1,500 จุด ถึง 1,760 จุด (13-15 เท่าของกำไรต่อหุ้น 117 บาท) โดยช่วงไตรมาส 1 จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด เนื่องจากตลาดหุ้นอาเซียน และหุ้นไทยจะ Outperform ตลาดหุ้นโลก เพราะตลาดหุ้นอาเซียน ได้ผลประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงเงินเฟ้อที่ลดลง

.

อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่ไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในไตรมาส 4 นักลงทุนต่างประเทศมีโอกาสที่จะเริ่มหาจังหวะลดการลงทุนหุ้นในอาเซียนอาจขายหุ้นประมาณหนึ่งส่วนสามของ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ซื้อมาปี 2565 หรือ 4 พันล้านเหรียญ เพื่อคงน้ำหนักลงทุนให้เท่า Benchmark MSCI Emerging Market

.

สำหรับปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย จะประกอบไปด้วยการเลือกตั้งที่สถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2531 มีการเลือกตั้ง 12 ครั้ง พบว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 5.2% (Medium) ช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งด้วยความน่าจะเป็น 73% จากการจับจ่ายใช้สอยที่มีเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้ง

.

ขณะเดียวกันการเปิดประเทศของจีนจะช่วยหนุนการท่องเที่ยวขยับขึ้นมาอยู่ที่ 24-25 ล้านคนในปีนี้ จากปีก่อนที่ 11 ล้านคน หนุนจีดีพีเพิ่มขึ้น 3.4 - 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 5% ของจีดีพี คาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดถึงระดับ 0.5% ของ GDP ในปี 2566 จีดีพีไทยถูกปรับขึ้นสูงถึง 3.5 – 3.8% ในปี 2566

.

พร้อมกันนี้สินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อจะเป็นขาลง และได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ส่วนสภาพคล่องก็เริ่มดีขึ้น Credit Spread ที่อ่อนค่าลง บ่งชี้ถึงยังไม่เกิดความเสี่ยงจาก Credit Default

ส่วนปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2566 เติบโต 2.2% เป็นการเติบโตน้อยสุดในรอบกว่า 20 ปี (ยกเว้นปี 2551 และ 2563) ส่งผลกระทบถึงการส่งออก และเศรษฐกิจที่ถดถอยลง และทำให้เกิด Derating ของตลาดหุ้น และมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่สะท้อนถึงการถดถอยของภาคการผลิต และเสี่ยงที่จะมีการดาวน์เกรดของกำไรต่อหุ้น เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน สหรัฐฯ ส่วนหุ้นไทยคาดการณ์กำไรต่อหุ้น ที่ 117 บาท ต่อหุ้น ในปี 2567

.

ทั้งนี้การถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบในการเติบโตต่อเศรษฐกิจไทย การส่งออก และการบริโภคในในปี 2566 เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นจากการส่งออก (Gross Export) ซึ่งการส่งออกมี สัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP และธนาคารกลางสหรัฐฯอาจเปลี่ยนมุมมองในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีและในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด ปรับมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยใหม่มาสู่ระดับ 6.5% (ความน่าจะเป็น 20 – 25%)

.

ดังนั้นคำแนะนำการลงทุนให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม Infrastructure Fund กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม โดยมีหุ้น Top pick คือ BBL GPSC PRM EGCO TFFIF CK DEMCO ส่วนกลุ่มที่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) คือกลุ่มพลังงาน

 

 


Forest