ทรัมป์-สี จิ้นผิง โทรคุยครั้งแรกในรอบปี จุดเปลี่ยนการค้าโลก หรือแค่หยุดพักชั่วคราว?
หลังจากความเงียบงันที่ยาวนาน ความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ของโลก—สหรัฐอเมริกาและจีน—ได้กลับมาเป็นที่สนใจของตลาดอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
การสนทนาครั้งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน 2025 ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่การเจรจาระหว่างสองประเทศหยุดชะงักไปพักใหญ่
แม้การพูดคุยจะยังไม่ได้นำไปสู่ข้อตกลงใด ๆ โดยตรง แต่การที่ผู้นำของสองประเทศยอม "ละลายความเย็นชา" ก็เพียงพอที่จะสร้างความหวังให้กับทั้งนักลงทุนและผู้ผลิตทั่วโลก ว่าการเจรจาอย่างเป็นทางการจะกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในไม่ช้า

เบื้องหลังโทรศัพท์ครั้งประวัติศาสตร์
จากรายงานของสื่อหลายสำนัก การพูดคุยของทรัมป์และสี จิ้นผิงในครั้งนี้มุ่งเน้นที่เรื่องการค้าโดยเฉพาะ โดยเว้นประเด็นร้อนอื่น ๆ อย่างสงครามยูเครน-รัสเซีย หรือปัญหาในตะวันออกกลางไว้ก่อน
ทั้งสองผู้นำเชิญชวนกันให้มีการเยือนในระดับประธานาธิบดี แต่ยังไม่ระบุว่าฝ่ายใดจะเดินทางไปก่อน อย่างไรก็ตาม ฝั่งสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าเตรียมส่งทีมเจรจาชุดเดิม นำโดยรัฐมนตรีคลัง Bessent, รัฐมนตรีพาณิชย์ Lutnick และผู้แทนการค้า Greer ที่เคยเข้าร่วมโต๊ะเจรจาที่เจนีวามาแล้วเมื่อเดือนก่อน
90 วันที่ยังไม่จบดี ก็อาจเริ่มนับถอยหลังใหม่อีกครั้ง
ต้องไม่ลืมว่า เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐฯ และจีนเพิ่งตกลงที่จะลดระดับความตึงเครียดด้วยการ "พักรบภาษี" เป็นเวลา 90 วัน โดยลดภาษีลงกว่า 115 จุด ข้อตกลงชั่วคราวที่หลายฝ่ายมองว่าอาจช่วยให้ทั้งสองประเทศมีเวลาหายใจ ก่อนเดินหน้าเจรจารอบใหม่
แต่ดูเหมือนว่า การพักรบนี้จะเต็มไปด้วยรอยร้าว
ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลง โดยเฉพาะในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่าง แร่หายาก และ เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกลายเป็นจุดตัดทางยุทธศาสตร์ใหม่ของสงครามการค้า
ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงขั้นโพสต์ข้อความในโซเชียลว่า "การเจรจากับสี จิ้นผิงนั้นยากมาก" ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าความไว้วางใจระหว่างสองมหาอำนาจนี้ ยังไม่กลับมาเต็มร้อย
เกมทรัพยากร: จีนกับแร่หายาก
หนึ่งในประเด็นที่ทำให้ทั้งโลกจับตา คือการที่จีนยังคงเป็นประเทศเดียวที่ครองสัดส่วนการแปรรูปแร่หายากมากกว่า 90% ของทั้งโลก
แร่หายากเหล่านี้ไม่ได้หายากเพียงแต่ในธรรมชาติ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ตั้งแต่กล้องดิจิทัล สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบอาวุธขั้นสูง
สหรัฐฯ ยังคงพึ่งพาการนำเข้าแร่หายากจากจีนอย่างมาก และเมื่อจีนเริ่มมีท่าทีจะจำกัดการส่งออก ผู้ผลิตรถยนต์และกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ก็เริ่มแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน
เศรษฐกิจโลกต้องกลั้นหายใจ
องค์การ OECD ออกโรงเตือนว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนครั้งนี้ อาจกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคโควิด-19
ความไม่แน่นอนทางการค้า ทำให้หลายประเทศระงับการลงทุน โครงการใหญ่ ๆ ถูกเลื่อนออกไป ขณะที่ต้นทุนการผลิตในหลายอุตสาหกรรมพุ่งสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบที่ผันผวน
และหากไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกิดขึ้นภายในสิ้นกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นเส้นตายของการพักรบ 90 วัน—ตลาดโลกอาจต้องเผชิญกับแรงกระเพื่อมชุดใหม่ ที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน
อนาคตที่ยังเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ
แม้การเจรจารอบใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ทว่าระดับความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในระดับต่ำมาก
จีนยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า ส่วนสหรัฐฯ ก็ยังไม่ถอนตัวจากการสนับสนุนอุตสาหกรรมของตนเองผ่านมาตรการภาษีและเงินอุดหนุน
ในขณะที่ผู้นำทั้งสองยังเล่นเกมการเมืองกันอยู่บนเวทีโลก ประชาคมโลกต้องเฝ้ารอดูว่า การพูดคุยระหว่างทรัมป์กับสีครั้งนี้ จะนำไปสู่ข้อตกลงถาวร หรือจะเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งของละครที่ยังไม่รู้บทจบ
บทสรุปที่ยังเปิดกว้าง
โทรศัพท์สายเดียวอาจไม่เปลี่ยนโลก แต่ก็เพียงพอที่จะเขย่าความเชื่อมั่นในตลาดได้ไม่แพ้สงครามจริง
นักลงทุนทั่วโลกคงต้องจับตาให้ดี เพราะแม้การพูดคุยครั้งนี้จะเป็น “สัญญาณบวก” ที่ช่วยคลายแรงกดดัน แต่ประเด็นใหญ่อย่างภาษี แร่หายาก และเทคโนโลยียังคงเป็นระเบิดเวลาที่อาจปะทุได้ทุกเมื่อ
ในสงครามที่ไม่มีใครอยากแพ้… การเจรจาอาจไม่ใช่จุดจบ แต่คือการเริ่มนับหนึ่งอีกครั้งต่างหาก
ขอบคุณเนื้อหาข้อมูลจาก..เพจ KIM Property Live