ส่องผลประกอบการหุ้นในเครือ “ปตท.”
ปี 65 กำลังโกยรายได้ 6 ล้านล้านบาท

.
บริษัทในเครือ PTT หรือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย โดยปตท.ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานและปิโตรเคมีอย่างครบวงจรในฐานะเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ดังนั้นในครั้งนี้ทีมข่าว Wealthy Thai จะมานักลงทุนมาถอดคำทำนายผลประกอบการปี 65 ของหุ้นใหญ่ในกลุ่ม ปตท.ว่าจะออกมาในทิศทางไหนกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม่อย่าง PTT รวมทั้ง PTTEP, PTTGC, TOP, IRPC, GPSC และ OR
.
โดยจากการรวบรวมของ Wealthy Thai ผ่านการประเมินของนักวิเคราะห์พบว่า หุ้นในกลุ่ม PTT ทั้ง 7 บริษัท จะมีรายได้รวมกันกว่า 6,016,858 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขรายได้มีการเติบโตในทุกบริษัท แต่ในส่วนของกำไรมีคาดการณ์ว่า PTTEP TOP และ OR เท่านั้นที่จะเห็นการเติบโต
.
มาเริ่มกันที่ PTT นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า ทางพื้นฐานแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสมใหม่ 36.50 บาท โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ลง 11% มาอยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมคาดที่ 3,196,731 ล้านบาท โต 41.52% และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ลง 7% มาอยู่ที่ 9 มาอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท โต 7% จากปีก่อนหน้า
.
ทั้งนี้สะท้อนความอ่อนแอของงบ 9 เดือนปี 65 จากผลกระทบการพุ่งขึ้นของต้นทุนก๊าซตามราคาตลาดโลก และปริมาณอุปทานในอ่าวไทยที่จำกัด รวมทั้งการให้ความร่วมมือช่วยเหลือ ด้านพลังงานตามนโยบายภาครัฐ
.
สำหรับปี 2566 คาดผลประกอบการฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า ตามอุปสงค์ก๊าซที่ดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และการเร่งผลิตก๊าซในอ่าวไทยช่วยหนุนอัตราผลิตโรงแยกก๊าซ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังไม่เด่นเพราะต้นทุน Spot LNG ยังอยู่ระดับสูง, ราคาน้ำมัน ค่าการกลั่นมีแนวโน้มชะลอลง และรับรู้ผลกระทบการปรับค่าผ่านท่อก๊าซเต็มปี (ราว 6 พันล้านบาท)
.
ต่อมา PTTEP นักวิเคราะห์บล.พาย มีความเห็นว่า ปี 65 คาดจะมีรายได้ 327,947 ล้านบาท โต 49.70% จากปีก่อน ขณะที่ประเมินกำไรสุทธิทั้งปีที่ 6.87 หมื่นล้านบาท โต 77% จากปีก่อน และกำไรปกติที่ 8.1 หมื่นล้านบาท โต 89%จากปีก่อน หนุนจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายที่พุ่งขึ้น 25% และ 13% จากปีก่อน
.
ทั้งนี้คาดว่ากำไรปกติทั้งปี 66 จะลดลง 14% จากปีก่อน เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง หลังจากราคาน้ำมันลดลงจากฐานสูงในปี 65 ขณะที่ EIA ประเมินราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยที่ 83 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 66 ลด 18% จากปีก่อน และลดต่อเนื่องเป็น 78 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 67 เพราะมีการเพิ่มสต็อกน้ำมันกันมากขึ้น ซึ่งจะไปซ้ำเติมราคาน้ำมันดิบ แนะนำ "ถือ" มูลค่าพื้นฐาน 175 บาท
.
ส่วน PTTGC นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า ปี 66 คาดโมเมนตัมกำไรจะเริ่มเข้าสู่รอบการฟื้นตัว เชื่อว่า Spread ปิโตรเคมี และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดในปี 65 ไปแล้ว ปรับราคาเหมาะสมเป็น 59 บาท คงคำ แนะนำ “ซื้อลงทุน” เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจทยอยเข้าซื้อช่วงหุ้นอ่อนตัว หรือหากรับความเสี่ยงได้น้อยอาจรอเข้าซื้อหลังผ่านการรายงานงบวันที่ 13 ก.พ.66
.
ทั้งนี้คาดปี 2565 มีรายได้ 726,526 ล้านบาท โต 54.92% จากปีก่อน ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ลงเป็นขาดทุน 9 พันล้านบาท (เดิมขาดทุน 1.3 พันล้านบาท) โดยหลักมาจากการประเมินผลขาดทุนสต็อกน้ำมันที่ 2.3 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ 4.4 พันล้านบาท (เทียบกับเดิมคาดว่าจะกำไร 1.5 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 2.8 พันล้านบาท) นอกจากนี้ ยังเพิ่มความระมัดระวังในสมมติฐานปี 2566 โดยปรับกำไรสุทธิลง 19% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท
.
TOP นักวิเคราะห์บล. พาย มีความเห็นว่า คงคำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 68 บาท โดยคาดรายได้ปี 65 จะอยู่ที่ 514,503 ล้านบาท โต 48.91% จากปีก่อน ขณะที่คาดกำไรสุทธิทั้งปี 65 ที่ 3.34 หมื่นล้านบาท โต 165% หรือทำจุดสูงเป็นประวัติการณ์ หนุนจาก GIM ที่พุ่งขึ้น 2.5 เท่า กำไรสต็อกน้ำมันจากราคาน้ำมันดิบขาขึ้น และการขายเงินลงทุนใน GPSC
.
ทั้งนี้มองว่าค่าการกลั่นและการเติบโตที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/66 จะหนุนราคาหุ้นในช่วงไตรมาสได้ แม้ประเมินว่ากำไรสุทธิจะลดลงในปี 2566 แต่ถือเป็นการกลับสู่ระดับปกติจากฐานสูงในปี 2565 ขณะที่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยต่างๆ ไปแล้ว
.
IRPC นักวิเคราะห์บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า คาดรายได้ปี 2565 จะอยู่ที่ 320,909 ล้านบาท โต 25.78% จากปีก่อน โดยปรับลดประมาณการปี 2565 ลงเป็นขาดทุนสุทธิ 4.5 พันล้านบาท (จากเดิมกำไรสุทธิ 2.5 พันล้านบาท) โดยปรับสมมติฐานหลักได้ แก่ 1.ปรับกำไรสต็อกน้ำมันเหลือ 0.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ 1.1 พันล้านบาท (จากเดิม 2.9 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ 6.5 พันล้านบาท)
.
2.ปรับลดค่าการกลั่นเป็น 8.0 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล (เดิม 8.8 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล) นอกจากนี้ ยังเพิ่มความระมัดระวังในปี 66 โดยปรับลดสมมติฐาน Market GIM เหลือ 11 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล (จากเดิม 11.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล) ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลดลง 15% มาอยู่ที่ 3.0 พันล้านบาท
.
ดังนั้นปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 3.30 บาท (จากเดิม 3.40 บาท) คงคำแนะนำ TRADING อย่างไรก็ตามมองว่ายังไม่ต้องรีบเข้าลงทุน เนื่องจาก 1.ผลประกอบการไตรมาส 4/65 อ่อนแอ ทำให้ประมาณการของตลาดมี Downside 2.เงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 65 มีความไม่แน่นอน (อาจลดลงจากครึ่งปีแรกหรือไม่มี)
.
3.การฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเคมีกลุ่ม PP และ ABS (ผลิตภัณฑ์หลัก) จะใช้เวลานานกว่าคู่แข่งในกลุ่ม PE เพราะมีอุปทานใหม่เตรียมเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก (บริษัทจะรายงานผลประกอบการวันที่ 7 ก.พ.)
.
GPSC นักวิเคราะห์บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า คาดรายได้ปี 65 จะอยู่ที่ 100,759 ล้านบาท โต 34.57% หากไตรมาส 4/65 เป็นไปตามคาด ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 3 พันล้านบาท (ลดลง 59.40% จากปีก่อน) จะมี Downside อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกำไร 9 เดือนปี 65 คิดเป็นเพียง 45% และคาดการณ์ปี 65 อยู่บนความหวังต่อการฟื้นตัวในไตรมาส 4/65
.
อย่างไรก็ตาม คาดไตรมาส 4/65 พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 381 ล้านบาท ลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มต้นทุนเชื้อเพลิงยังเห็นการเพิ่มขึ้นต่อเพราะการซื้อขายที่มี Lag-time จากราคาอ้างอิง, ผลกระทบจากลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ปิดซ่อมบำรุงโรงงานหลายราย, ส่วนแบ่งกำไรลดลงตามปัจจัยฤดูกาล แนวโน้มงบไตรมาส 4/65 ไม่ดีเท่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้า ลดคำแนะนำเป็น TRADING (จาก “ซื้อ”) ราคาเหมาะสม 82.00 บาท
.
สุดท้าย OR นักวิเคราะห์บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า ประเมินรายได้ปี 65 ที่ 829,483 ล้านบาท โต 62.07% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ลง 14% เป็น 11,109 ล้านบาท โต 1% จากปีก่อน จากการปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันในปี 2565 ลงเป็น 1.00 บาท/ลิตร (จากเดิม 1.15 บาท/ลิตร) เพื่อสะท้อนค่าการตลาดน้ำมันที่อ่อนแอในช่วงไตรมาส 4/65
.
อีกทั้งปรับกำไรปี 2566 ลง 9% เป็น 11,413 ล้านบาท โต 3% จากการปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันรวมลงเป็น 1บาท/ลิตร (จากเดิม 1.05 บาท/ลิตร) เพื่อให้มีความอนุรักษ์นิยมมากขึ้น คาดกำไรปกติสามารถเติบโตเล็กน้อยจากปริมาณขายน้ำมันและปริมาณขายของ Café Amazon ที่เติบโตต่อเนื่องหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศฟื้นตัว ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 66 ลงเป็น 25 บาท แนะนำ “TRADING”