กระบวนท่าที่ 39
ความได้เปรียบของนักลงทุนรายย่อยที่มีมากกว่าเจ้าของกิจการ
การเป็นนักลงทุนรายย่อยนั้นมีความได้เปรียบกว่าเจ้าของกิจการอย่างหนึ่งก็คือ
เวลาที่เจ้าของกิจการอยู่ในเฟสการลงทุนที่กำลังยากลำบาก เช่นสมมุติเพื่อนของท่านเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วต้องลงทุนเพิ่มหนักๆ เพื่อซื้อสูตรใหม่อันแสนแพงหรือเช่าตึกในย่านใจกลางเมืองหรือต้องการขยายสาขาไปยังทำเลอื่นๆที่ห่างไกลออกไปหรืออะไรก็ตามแต่
ถ้าเพื่อนท่านมาชวนท่านหุ้นตอนที่เขากำลังยากลำบากในเรื่องการหาเงินทุนอยู่ ท่านก็คงสามารถที่จะปฏิเสธเพื่อนของท่านได้อย่างไม่ให้เสียน้ำใจกันมากนัก
แต่พอร้านของเพื่อนได้ผ่านพ้นเฟสของการลงทุนที่หนักๆไปแล้ว และกำลังจะเข้าสู่เฟสของการเก็บเกี่ยว
และท่านเห็นว่ากำไรของร้านเพื่อนเริ่มขายดีขึ้นดีวันดีคืน อนาคตน่าจะต้องสดใสแน่นอน
แต่ถ้าจะไปขอเข้าร่วมหุ้นกับเพื่อนเฉพาะตอนนั้น เพื่อนของท่านก็จะว่าท่านได้แน่นอนว่าแกนี่มันเพื่อนกินชัดๆ ยามข้าลำบากแกหายหัว ยามข้าสบายแล้วถึงจะมาขอหุ้นด้วย มีสุขจะมาร่วมเสพ แต่มีทุกข์ไม่เคยมาช่วยตรูต้าน
แต่สำหรับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเราศึกษางบการเงินได้ลึกพอ เราจะเห็นและรับรู้ได้ว่าตอนนี้กิจการเหล่านั้นได้ผ่านพ้นช่วงเฟสของการลงทุนไปแล้วและกำลังเริ่มจะเข้าสู่เฟสของการเก็บเกี่ยวแล้ว
ดั่งเช่นหุ้นส่งออกข้าวโพดกระป๋องตัวหนึ่ง (ตอน 4บาทก่อนที่จะปันผลเป็นหุ้น 2:1) กำลังผ่านพ้นช่วงเฟสของการลงทุนและเริ่มเข้าสู่เฟสของการเก็บเกี่ยว
ผู้เขียนจึงตัดสินใจซื้อหุ้นตอนนั้นในทันที ด้วยการเคาะขวาแบบรัวๆ เพราะกลัวใครจะมาแย่งเก็บไปได้ในราคานี้ซะก่อน
เนื่องจากในตอนนั้น (4บาท )เราได้ประเมินมูลค่าไว้ได้สูงกว่านั้นมาก (ณ.งบการเงินที่ปรากฏในขณะนั้น)
สรุปก็คือ เจ้าของกิจการ (ทุกกิจการในตลาดหุ้น) จะตำหนิเราไม่ได้เหมือนเพื่อนของเราที่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่นอกตลาดหุ้น
#และนี่คือความได้เปรียบของรายย่อยที่มีมากกว่าเจ้าของกิจการนั่นเองครับ
Liu De Hua (Mr.China)