ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กับการเชี่อมโยงการลงทุน

การเมืองโลกที่กำลังก่อตัวรุนแรงมากขึ้นระหว่าง กรณีแรก (บริบทของโลก 1 ขั้วอำนาจ) Unipolar World) ประเทศมหาอำนาจหลังสงครามเย็นอย่างประเทศสหรัฐกับประเทศที่กำลังก้าวมาเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจอย่างประเทศจีน
ส่วนกรณีที่สอง (บริบทของโลก 2 ขั้วอำนาจ Bipolar World) ประเทศมหาอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองอย่างประเทศสหรัฐกับประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างประเทศรัฐเซียในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็จะมีผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต่อประเทศไทย และการคาดการณ์ของความเป็นไปได้ของแนวทางที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
ทั้งนี้ การคาดการณ์สามารถมองจากได้หลายมุมมอง การมองจากมุมประวัติศาสตร์ของการเมืองระหว่างประเทศบนบริบทของทั้งการเมืองและเศรษฐกิจก็สามารถให้เห็นภาพโดยรวมแบบสแนปชอต (snap shot) ที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้น ความรุนแรงจะไปในทิศทางใดนั้นจะต้องคำนึงถึงปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันที่กระทบต่อนโยบายต่างประเทศของมหาอำนาจ เนื่องจากปัจจุบันทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่กระทบคนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งจะแตกต่างจากปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา
ดังนั้นหากประเทศมหาอำนาจมีนโยบายที่การเมืองนำเศรษฐกิจก็จะส่งผลกระทบลดลงต่อการลงทุน ซึ่งก็จะมีผลการกระทบตรงต่อ อย่างเช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี
สามารถอธิบายได้จาก ปัจจัยแรกของแนวนโยบายระบบเศรษฐกิจนิยมหรือทุนนิยม หากมองย้อนไปในมุมมองของประวัติศาสตร์ นักวิชาการหลายสำนักได้ให้มุมมองไว้ว่าที่ผ่านมาการตัดสินใจดำเนินนโยบายในปัจจุบันเป็นที่น่ากังวลเนื่องจากหลายประเทศมีนโยบายให้ความสำคัญทางการเมืองมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันประชาชนในประเทศที่จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด ภาวะเงินเฟ้อ และการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน การลดความสำคัญต่อการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic growth) การเพิ่มขึ้นของนโยบายป้องกันเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น (protectionism) หากแนวโน้มยังเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปอีกก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ
ปัจจัยที่สองการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นแต่ปัจจุบันยังไม่มาถึงภูมิภาคเรา(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เหมือนสมัยช่วงปีค.ศ. 1970 เป็นช่วงของนโยบายการเลือกข้าง การทำเกิดสงครามที่เรียกว่าสงครามตัวแทน หรือ proxy war หากมองย้อนไปในมุมมองของประวัติศาสตร์การที่ประเทศที่เลือกไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ (foreign assistance) จากประเทศมหาอำนาจนั้นมาในหลายรูปแบบ การเลือกอยู่ฝั่งเสรีนิยมทำให้ประเทศเรามีการพัฒนาไปในหลายๆด้านเนื่องจากได้รับความช่วยเหลือที่แตกต่างกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
ขณะที่เวียดนามที่เลือกฝั่งคอมมิวนิสต์ทำให้พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้นไม่เท่ากับประเทศเรา แต่เมื่อประเทศเวียดนามเปิดประเทศและประเทศสหรัฐได้ยกเลิกการห้ามการค้า (trade embargo) ใน ค.ศ. 1994 ทำให้การพัฒนาด้านต่างๆของเวียดนามโตแบบก้าวกระโดดและแซงหน้าประเทศเราในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการเจริญเติบโตของการลงทุน ซึ่งทำให้เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจของการลงทุนในภูมิภาคนี้
ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน เมื่อเกิดผลกระทบในพื้นที่หนึ่ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่อีกซีกหนึ่งก็ได้ และไม่เลือกว่าต้องเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองเพราะไม่ว่าจะเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งผลที่เกิดขึ้นจะกระทบอีกเรื่ืองหนึ่งเสมอ ความขัดแย้งทางการเมืองหลายครั้งจึงเป็นที่มาของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและหลายครั้งปัญหาเศรษฐกิจก็นำไปสู่การเมือง ไทยแม้ไม่ใช่ผู้เล่นในเวทีการเมืองโลกแต่ก็เป็นผู้จะได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตราบใดที่เศรษฐกิจไทยยังต้องการเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศอยู่