ซีพี ในต่างประเทศ ประคองซีพีฝ่าวิกฤตโควิด-19
หลายประเทศในโลกเริ่มปล่อยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ประเทศจีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัว 12.7% ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน โหมฉีดวัคซีนขนานใหญ่ ทำให้ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจอเมริกา กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีแนวโน้มขยายตัวถึง 7%
ต่างกับประเทศไทย ที่การประเมินทุกครั้ง ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกปรับลดลงมาโดยตลอด โดยล่าสุด ตัวเลข GDP ประเทศไทย เติบโตเพียง 1% ซึ่งแน่นอนว่า ธุรกิจ เล็ก กลาง ใหญ่ ในประเทศไทย ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งเครือซีพีที่เหมือนเรือลอยอยู่ในน้ำลง ที่เรือทุกลำได้รับผลกระทบ ตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย
แต่หลายคนเกิดคำถามว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง ซีพี ประคองตัวอย่างไร ก็ต้องนับว่าการเป็นผู้เล่นระดับโลกมีธุรกิจในหลายประเทศเป็นเหมือนการกระจายไข่ในตะกร้าหลายใบ
เป็นความโชคดีที่ธุรกิจของซีพีในหลายประเทศ มาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นของธุรกิจในประเทศไทย ที่เกิดจากผลกระทบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
“วันนี้ ซีพี เป็นบริษัทที่ลงทุนกว่า 20 ประเทศ ทำตลาดกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เพราะเป็นธุรกิจอาหารและการเกษตรจึงสามารถไปได้ทุกแห่ง และรายได้ส่วนใหญ่กว่า 60-70% ของบริษัทมาจากต่างประเทศ” ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าว
วิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ซีพีต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด “ไม่ควรวางไข่ทั้งหมดไว้ในตระกร้าใบเดียว”
นี่คือยุทธศาสตร์การลงทุนของ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียหรือต้มยำกุ้งผ่านพ้นไป
โดยเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องกระจายความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของเครือ
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั่วโลกประสบวิกฤตโควิด-19 ธุรกิจในอาณาจักรของเครือซีพี ก็สั่นสะเทือนไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศไทย เมื่อวิกฤตมาในครั้งนี้ เจ้าสัวธนินท์ พยายามรักษาธุรกิจในยามวิกฤตให้อยู่รอด โดยการนำรายได้ที่ได้จากต่างประเทศ มาประคองการจ้างงาน และยังรับพนักงานเพิ่ม ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดจากการบริหารความเสี่ยง ยามมืดต้องคิดถึงยามสว่าง และเมื่อยามสว่าง ต้องเตรียมพร้อมสำหรับยามวิกฤต
ซีพีเอฟ ยอดขายในไทยเติบโตลดลงแต่ในต่างประเทศเติบโตก้าวกระโดด
นอกจากเรี่องการส่งออกแล้ว ประเทศไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การบริการ ร้านอาหาร แต่ในภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงมากที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี นับจากเกิดการระบาดของโรคซาร์ส
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ท่ามกลางโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาด ทำให้ภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่สินค้าของซีพีเอฟเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพและได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคเท่าใดนัก
แต่ยอมรับว่า ยอดขายในประเทศโดยรวมลดลงราว 5% โดยเฉพาะช่องทางในกลุ่มร้านอาหาร และโรงแรม ที่ยอดขายตกลงอย่างหนัก
แต่เนื่องจากโมเดลธุรกิจในประเทศไทยมีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย รวมทั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไปซื้อสินค้าในหมวดอาหารจากช่องทาง Retailer ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายในช่องทางดังกล่าว เติบโตได้ค่อนข้างดี และมาช่วยบาลานซ์ในส่วนที่หดหายลงไปได้
ด้วยเหตุนี้ ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทเมื่อนับรวมจากทุกประเทศแล้วยังเป็นบวกอยู่ เนื่องจากสัดส่วนยอดขายส่วนใหญ่เกือบ 70% เป็นยอดขายจากต่างประเทศ ทั้งในส่วนของการส่งออกไปกว่า 30 ประเทศ และจากการไปตั้งธุรกิจในอีก 17 ประเทศ ซึ่งช่องทางจำหน่ายในต่างประเทศส่วนใหญ่ อยู่ในรูปแบบ Retailer ซึ่งมีประชาชนไปซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารเช่นเดียวกัน ทำให้ภาพรวมของธุรกิจยังคงเป็นบวกได้อยู่
ซีพีออลล์ ไม่ต่างจากผู้ประกอบการทุกราย รับผลกระทบโควิดสะเทือนรายได้
โควิดกระทบทุกหย่อมหญ้า ไตรมาสแรกปีนี้บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน)มีรายได้รวม 133,431 ล้านบาท ลดลง 8.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น “กลุ่มร้านสะดวกซื้อ” มีรายได้รวม 70,450 ล้านบาท ลดลง 14.97% แม้ว่าจะมีการเปิดสาขาใหม่รวม 155 สาขา รวมทั้งรุกเจาะตลาดออนไลน์มากขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยยอดขายเฉลี่ยของสาขาเดิมที่ลดลง 17.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ผู้คนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงการหายไปของลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวส่งผลโดยตรง และมาตรการควบคุมโรคระบาดที่ทำให้ เซเว่นอีเลฟเว่น ไม่สามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมง สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า ผู้ประกอบการทุกราย ต่างได้รับผลกระทบ แต่กระทบต่อกันเป็นลูกโซ่
ดังนั้น การกลับมาของเศรษฐกิจ ล้วนเป็นความท้าทาย หากนักท่องเที่ยวยังไม่กลับมา การจับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการภาครัฐ ที่สงวนให้ประโยชน์กับร้านค้ารายย่อยเท่านั้น ทำให้เซเว่นฯได้รับผลกระทบสองทาง จากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และ จากนโยบายภาครัฐที่ช่วยเหลือเพียงกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้โจทย์นี้เซเว่นฯต้องปรับตำราหาทางออก
ในส่วนของ “กลุ่มค้าส่งแบบชำระเงินสดและบริการตนเอง” ของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ยอดขายชะลอตัวเล็กน้อยอยู่ที่ 55,878 ล้านบาท ลดลง 0.48% จากช่วงไตรมาสแรกปี 2563 ที่มีรายได้ทั้งหมด 56,148 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิลดฮวบเหลือ 2,599 ล้านบาท ลดลง 53.95% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5,645 ล้านบาท สะท้อนภาพปัญหาโควิด-19 เป็นไวรัสร้ายที่กัดกร่อนธุรกิจเกินกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ ดังนั้น อย่ามองว่า ผู้เล่นรายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่อุปสรรคในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แต่ด้วยมีธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้ยังสามารถรักษาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจ้างงานไว้ได้
ทรู เจอวิกฤตโควิด ทำให้ยังไม่สามารถพลิกมากำไร
แม้ว่ากลุ่มทรู อยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและเทคโนโลยี ที่น่าจะได้อานิสงส์จากการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home ที่ทุกบ้านต้องใช้อินเตอร์เนต แต่ต้องยอมรับว่า ทรู มีความกดดันจากการลงทุนต่อเนื่อง และจ่ายเงินค่าไลเซนต์ 5G ให้กับรัฐบาลจำนวนมาก นอกจากนี้ ทรู ยังได้ลงทุนขยายเครือข่ายในช่วงโควิดอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปี 2564 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) มีผลกำไรติดลบถึง 581 ล้านบาท รายได้ปี 2563 ลดลงจากปีก่อน 4.20%
นอกจากการแข่งขันที่สูงมากในกลุ่มธุรกิจสื่อสารแล้ว โควิด-19 ยังทำให้ยอดผู้ใช้บริการในส่วนของลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติลดน้อยลงจนแทบจะเป็นศูนย์ ทำให้ธุรกิจเข้าสู่การเป็นผู้เล่นด้านดิจิทัลมากขึ้น โดยหวังการเติบโตในธุรกิจใหม่ ที่มีตัวคูณมูลค่าธุรกิจสูงขึ้น หลังโควิด นอกจากต้องรอดแล้ว ต้องทรานฟอร์มธุรกิจไปในตัว
ด้านหัวเรือใหญ่แห่ง CP Group ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ มีมุมมองต่อวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นว่า
“วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ ทำให้ทุก ๆ ภาคส่วนประสบกับอุปสรรคและปัญหามากขึ้น รวมทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วยที่ได้รับผลกระทบไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และอาจจะมีบางภาคส่วนที่รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการหายไปของนักท่องเที่ยว และ การหดตัวของธุรกิจโดยรวม นอกจากนี้เครือได้มีการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้เดือดร้อน ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด จนถึงปัจจุบัน และ ประคองธุรกิจคู่ค่า ให้อยู่รอดไปด้วยกัน รวมถึงรักษาการจ้างงาน
การจะก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ ความมั่นใจของเอกชนไทยมีความสำคัญ ตั้งแต่ผู้บริหาร พนักงาน คู่ค้า ตลอดจนผู้บริโภค และที่สำคัญ คือการกลับมาของการลงทุนจากต่างประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยว ต้องแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถบริหารจัดการ และอยู่กับสถานการณ์โควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีกระบวนการในการให้บริการ และความเชื่อมโยงกับสาธารณสุขอย่างครบถ้วนในทุกมิติของอุตสาหกรรม”
ทั้งนี้ อยากฝากถึงภาครัฐว่า ต้องรักษาธุรกิจ เล็ก กลาง ใหญ่ ให้อยู่รอด ควบคู่กับการจัดหาวัคซีน มาเร่งฉีดให้กับประชาชน รวมถึงการสื่อสารแผนการกระจายวัคซีน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น การประคองเศรษฐกิจ ดูแลปากท้องประชาชน และ การดูแลด้านสุขภาพ จึงเป็นงานสำคัญที่ต้องเดินคู่กัน
-----------------------------------------
ที่มา: MarketeerOnline
ขอบคุณรูปจาก Intergold, ประชาชาติธุรกิจ ฯลฯ