ระอุ! ภาษีทรัมป์ยังไม่เคลียร์ (ศาลการค้าฯ เจอตอใหญ่!) แถม "มาตรา 899" จ่อรีดภาษีนักลงทุนทั่วโลก! | Podcast Available
เรื่องกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นี่ต้องบอกว่าเป็นมหากาพย์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงๆ ค่ะ มีการต่อสู้กันหลายชั้น ทั้งในเชิงนโยบายและในทางกฎหมาย ซึ่งล่าสุดก็มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาจับตามองอย่างไม่กะพริบตาค่ะ
โพสต์นี้ยาวหน่อยนะคะ ถ้ามีเวลาอยากให้กลับมาอ่านเอง กลัวว่าฟัง Podcast อาจจะได้เนื้อหาไม่ครบค่ะ เพราะมี 3 เรื่องใหญ่มากคือ
1. ศาลอุทธรณ์สั่งระงับคำสั่งศาลการค้าประหว่างประเทศชั่วคราว
2. แนวทางการขึ้นภาษีอื่นๆ ที่ทรัมป์ใช้ได้
3. มาตรา 899 เก็บภาษีนักลงทุนต่างชาติที่ถือสินทรัพย์สหรัฐฯ

เปิดปฐมบท: ศาลการค้าระหว่างประเทศสั่ง "หยุด!" การขึ้นภาษี
จุดเริ่มต้นของความระทึกระลอกล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เมื่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) ซึ่งเป็นศาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีการค้าระหว่างประเทศ ได้มีคำตัดสินที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วค่ะ โดยคณะผู้พิพากษา 3 ท่าน ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่ง "บล็อก" หรือให้ระงับการบังคับใช้ กำแพงภาษีชุดใหญ่ที่รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศออกมา ซึ่งครอบคลุมถึง
” Liberation Day" tariffs: ชื่อนี้อาจจะฟังดูยิ่งใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันคือกำแพงภาษีที่ทรัมป์ตั้งใจจะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากหลายสิบประเทศทั่วโลกเลยค่ะ เรียกว่ากระทบกันเป็นวงกว้าง
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล (Fentanyl): เฟนทานิลเป็นสารตั้งต้นยาเสพติดที่สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดอย่างหนัก และรัฐบาลทรัมป์ก็ได้กำหนดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา โดยอ้างเรื่องความเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล
เหตุผลหลักที่ศาลชี้ขาดแบบนี้ก็คือ ศาลมองว่าการที่รัฐบาลทรัมป์อ้าง กฎหมายปี 1977 (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจประธานาธิบดีในการออกมาตรการทางเศรษฐกิจใน "สถานการณ์ฉุกเฉิน" นั้น เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต (exceeded the authority) ที่กฎหมายฉบับนี้ได้ให้อำนาจไว้ในบริบทของกำแพงภาษีเหล่านี้ค่ะ
พูดง่ายๆ คือ ศาลเห็นว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อนำมาสู่การขึ้นภาษีในกรณีเหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนั่นเอง คดีนี้มีผู้ฟ้องร้องคือกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งแน่นอนว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษี และยังมีรัฐต่างๆ ที่นำโดยพรรคเดโมแครตเข้าร่วมด้วย
ถ้าคำตัดสินนี้ยืนหนึ่ง...อะไรจะเกิดขึ้น?
หากสมมติว่าคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศนี้เป็นที่สิ้นสุดและมีผลบังคับใช้ถาวร ผลกระทบที่จะตามมานั้นมหาศาลมากค่ะ ตั้งแต่
กำแพงภาษีโหด 30% ที่ตั้งใจจะเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน อาจจะต้องพับแผนไป
ภาษี 25% สำหรับสินค้าจากเพื่อนบ้านอย่างแคนาดาและเม็กซิโก ก็อาจจะไม่ต้องจ่าย
และภาษีอีก 10% ที่เตรียมจะเก็บจากสินค้าส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ก็อาจจะกลายเป็นอากาศธาตุ
นักวิเคราะห์จากสถาบันที่น่าเชื่อถืออย่าง Bloomberg Economics ได้ลองคำนวณตัวเลขคร่าวๆ ดูแล้วพบว่า ถ้าเป็นไปตามนี้จริงๆ ภาระภาษีโดยรวมที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเพิ่มขึ้นอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งในสมัยที่สอง อาจจะ ลดลงอย่างฮวบฮาบ
จากเดิมที่คาดว่าจะทำให้ภาระภาษีเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 10.4 จุดเปอร์เซ็นต์ อาจจะเหลือเพียง 3.4 จุดเปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ลองจินตนาการดูนะคะว่าเม็ดเงินภาษีที่หายไปจากการนำเข้าสินค้ามหาศาลในแต่ละวันจะมากมายขนาดไหน และจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าและต้นทุนธุรกิจอย่างไรบ้าง
สงครามยังไม่จบ! รัฐบาลทรัมป์ยื่นอุทธรณ์สู้ต่อ
แต่เรื่องราวมันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากค่ะ เพราะทันทีที่ศาลการค้าระหว่างประเทศมีคำตัดสินออกมา ทางรัฐบาลทรัมป์ โดยกระทรวงยุติธรรม ก็ได้ดำเนินการ ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ทันทีต่อศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ (US Court of Appeals for the Federal Circuit) ซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่า
โดยรัฐบาลทรัมป์ให้เหตุผลในการอุทธรณ์ว่า คำตัดสินของศาลชั้นต้นนั้นจะ "สร้างความเสียหายต่อการทูตของสหรัฐอเมริกา" และเป็นการ "ก้าวล่วงอำนาจเฉพาะของประธานาธิบดีในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ" ซึ่งเป็นอำนาจที่ฝ่ายบริหารมองว่าสงวนไว้สำหรับประธานาธิบดี
ศาลอุทธรณ์สั่ง "พักรบชั่วคราว"
และสถานการณ์ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก เมื่อล่าสุดในช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์กลางได้มีคำสั่งสั้นๆ ออกมา โดยให้ "ระงับชั่วคราว" (so-called administrative stay) คำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศเอาไว้ก่อนค่ะ
คำสั่งระงับชั่วคราวนี้เปรียบเสมือนการกดปุ่ม "Pause" เพื่อให้ทุกอย่างหยุดนิ่งชั่วขณะ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีเวลาพิจารณาคำร้องของรัฐบาลที่ขอให้ระงับคำสั่งศาลล่างในระยะยาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน การระงับชั่วคราวแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะแก้ไขไม่ได้ในภายหลัง หรือเพื่อรักษาสถานะเดิมเอาไว้ระหว่างที่กระบวนการอุทธรณ์ยังไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์กลางได้กำหนดตารางการยื่นเอกสารประกอบคำร้องและคำคัดค้านต่างๆ ซึ่งจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่เราต้องจับตามองกันต่อไปว่าศาลอุทธรณ์จะตัดสินใจอย่างไรกับคำร้องขอให้ระงับคำสั่งในระยะยาว
ที่น่าสนใจคือ คณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ออกคำสั่งระงับชั่วคราวนี้มีทั้งหมด 11 ท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ถึง 8 ท่าน ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ซึ่งก็เป็นจุดที่หลายคนให้ความสนใจว่าจะส่งผลต่อทิศทางการพิจารณาคดีอย่างไร
เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลทรัมป์ยังส่งสัญญาณชัดเจนว่า พร้อมจะสู้ถึงที่สุด โดยอาจจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลฎีกา (Supreme Court) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของประเทศ หากจำเป็น ทำให้สถานการณ์กำแพงภาษีนี้ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันแบบยาวๆ เลยค่ะ
อีกหนึ่งแนวรบ: คำตัดสินในคดีผู้ผลิตของเล่น
นอกจากคดีใหญ่ที่ศาลการค้าระหว่างประเทศแล้ว ยังมีอีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันค่ะ โดยผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางในวอชิงตัน ได้มีคำตัดสินแยกต่างหากออกมาว่า กำแพงภาษีบางส่วนของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ (ในคดีที่ฟ้องโดยกลุ่มผู้ผลิตของเล่นที่เป็นธุรกิจครอบครัว) นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (unlawful) เช่นกันค่ะ
อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาได้ให้เวลากระทรวงยุติธรรม 14 วันในการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งก็เป็นการเปิดอีกแนวรบหนึ่งที่รัฐบาลทรัมป์ต้องเผชิญ แสดงให้เห็นถึงแรงต้านทางกฎหมายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อมาตรการภาษีของเขา
ท่าทีของทำเนียบขาว: ไม่ยอมรับคำตัดสิน
แน่นอนว่าทางทำเนียบขาวออกมาตอบโต้คำตัดสินของศาลอย่างดุเดือดค่ะ โฆษกทำเนียบขาวได้กล่าวถึงคำตัดสินนี้ว่าเป็นผลงานของ "ผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง" ซึ่งไม่ควรมีอำนาจ "ตัดสินใจว่าจะจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินของชาติอย่างไร" โดยรัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนยันว่าการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทำลายชุมชนชาวอเมริกัน ทิ้งคนงานไว้ข้างหลัง และทำให้ฐานอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศอ่อนแอลง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลไม่ได้โต้แย้ง
ถ้ากำแพงภาษีถูกยกเลิกถาวร...โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าสุดท้ายแล้วคำตัดสินของศาลที่ให้บล็อกกำแพงภาษีเหล่านี้มีผลบังคับใช้จริงและถาวร ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกน่าจะตามมามากมายค่ะ เช่น
เศรษฐกิจโลกมีโอกาสฟื้นตัว: การลดกำแพงภาษีจะช่วยลดต้นทุนการค้า ทำให้การค้าขายระหว่างประเทศคล่องตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศใหญ่ๆ ทั่วโลก
ลดความไม่แน่นอนทางธุรกิจ: ที่ผ่านมา สงครามการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีได้สร้างความปั่นป่วนให้กับภาคธุรกิจอย่างมาก บริษัทต่างๆ วางแผนการลงทุนได้ยาก การยกเลิกภาษีจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงนี้ลง ทำให้ธุรกิจมีความมั่นใจในการลงทุนและขยายกิจการมากขึ้น
ธนาคารกลางอาจผ่อนคลายนโยบาย: ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเคยออกมาให้ความเห็นว่าสงครามการค้าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การคลี่คลายของสถานการณ์นี้อาจทำให้ธนาคารกลางบางแห่งพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินได้
แม้ภาษีชุดนี้ถูกบล็อก...ทรัมป์ยังมี "อาวุธ" อื่นในมือ?
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs ได้ออกมาให้ความเห็นที่น่าสนใจค่ะ พวกเขามองว่า ถึงแม้กำแพงภาษี "Liberation Day" และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะถูกศาลสั่งระงับไป แต่รัฐบาลทรัมป์ก็ยัง มีเครื่องมือทางกฎหมายอื่นๆ (alternative tools) ที่สามารถนำมาใช้เพื่อขึ้นภาษีได้อีกนะคะ ไม่ได้หมายความว่าเกมจะจบลงง่ายๆ ตัวอย่างเช่น
Section 232: เป็นมาตราในกฎหมายการค้าที่ให้อำนาจประธานาธิบดีในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าโดยอ้างเหตุผลด้าน "ความมั่นคงแห่งชาติ" (national security grounds) ที่ผ่านมา ทรัมป์เคยใช้มาตรานี้ขึ้นภาษีเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์มาแล้ว โดยทางด้าน Goldman Sachs ประเมินว่า หากการสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ภายใต้ Section 232 ทั้งหมด ส่งผลให้มีการขึ้นภาษีในอัตรา 25% ก็อาจจะเพิ่มภาระภาษีโดยรวมได้อีกถึง 7.6 จุดเปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว
Section 122: เป็นอีกมาตราหนึ่งที่อาจให้อำนาจในการขึ้นภาษีได้ถึง 15% เป็นระยะเวลา 150 วัน ในกรณีที่เกิดวิกฤตดุลการชำระเงิน
Section 301: ให้อำนาจผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในการเริ่มการสอบสวนทางการค้าต่อประเทศคู่ค้าที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งการสอบสวนเหล่านี้อาจนำไปสู่การขึ้นภาษีได้ในที่สุด แต่กระบวนการภายใต้ Section 301 นี้มักจะ "ใช้เวลานานกว่าในการดำเนินการ"
นอกจากนี้ Goldman Sachs ยังประเมินด้วยว่า กำแพงภาษีที่ศาลสั่งระงับไปนั้น หากยังคงอยู่ อาจสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ถึงเกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกับตัวเลขที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันจะทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นในปีหน้าเลยนะคะ
ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่ารายได้จากกำแพงภาษีมีความสำคัญต่อแผนการคลังของรัฐบาลทรัมป์ไม่น้อย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ จ่ายภาษีไปแล้วถึง 16,500 ล้านดอลลาร์ และเจ้าหน้าที่ของทรัมป์ก็คาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นอีกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้น แม้ภาษีชุดนี้อาจจะสะดุดไปบ้าง Goldman Sachs ก็ยังคาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะพยายามหาทางขึ้นภาษีด้วยวิธีอื่นอยู่ดี และรายได้ส่วนใหญ่ก็น่าจะยังคงเกิดขึ้น
ปฏิกิริยาจากนานาชาติ และผลกระทบต่อการเจรจาการค้า
แน่นอนว่าประเทศคู่ค้าสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ต่างก็จับตามองสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและด้วยความระมัดระวังค่ะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นได้ออกมากล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะ "ตรวจสอบเนื้อหาของคำตัดสินและผลกระทบอย่างละเอียด และจะตอบสนองอย่างเหมาะสม" ขณะที่รัฐมนตรีการค้าและการท่องเที่ยวของออสเตรเลีย (Don Farrell) ก็กล่าวว่ารัฐบาลออสเตรเลียจะยังคงมีส่วนร่วมและผลักดันอย่างแข็งขันให้มีการยกเลิกกำแพงภาษีที่เขาเรียกว่า "ไม่ยุติธรรม"
ที่สำคัญไปกว่านั้น คำตัดสินของศาลครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเจรจาการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงในหลักการทางการค้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งบรรลุกับสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีเงื่อนไขว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากสหราชอาณาจักร ข้อตกลงส่วนนี้อาจจะต้องถูกนำมาพิจารณาใหม่ทั้งหมด หากคำตัดสินของศาลที่ระบุว่าการขึ้นภาษีในลักษณะนี้ผิดกฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้เป็นการถาวร
เจนนิเฟอร์ ฮิลล์แมน (Jennifer Hillman) ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจาก Georgetown University และอดีตผู้พิพากษาขององค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงเคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายทั่วไปของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ให้ทัศนะที่เฉียบคมว่า "ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไหนๆ ถึงยังอยากจะเข้ามาเจรจาเพื่อขอยกเว้นจากกำแพงภาษีที่ตอนนี้ถูกศาลประกาศแล้วว่ามันผิดกฎหมาย" เธอยังเน้นย้ำด้วยว่า สิ่งที่ศาลกำลังบอกก็คือ "การสร้างอำนาจต่อรองไม่ใช่การใช้ภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย" ซึ่งถือเป็นประเด็นที่สำคัญมากจริงๆ ค่ะ
ประเด็นร้อนที่สองที่ต้องจับตา: Section 899 ภัยเงียบในร่างกฎหมายภาษี ที่อาจจุดชนวน "สงครามเงินทุน" ครั้งใหม่!
พักเรื่องกำแพงภาษีที่ดุเดือดไว้สักครู่ แล้วมาต่อกันที่อีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงไม่แพ้กัน ที่กำลังสร้างความหวั่นวิตกอย่างมากในหมู่นักลงทุนและสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Wall Street นั่นก็คือ ข้อเสนอที่ถูก "ซ่อนลึก" อยู่ในร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายฉบับมหึมาของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีความยาวรวมกันกว่า 1,000 หน้า
มาตราที่ว่านี้คือ มาตรา 899 (Section 899) ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ที่ฟังดูเป็นทางการว่า “การบังคับใช้มาตรการเยียวยาต่อภาษีต่างประเทศที่ไม่เป็นธรรม” (Enforcement of Remedies Against Unfair Foreign Taxes)
Section 899 คืออะไรกันแน่? ทำไมถึงน่ากังวลขนาดนี้?
ถ้าจะให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุดนะคะ มาตรา 899 นี้ให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐฯ ในการ "ขึ้นอัตราภาษี" อย่างมีนัยสำคัญ กับบุคคลธรรมดาและบริษัทที่มาจากประเทศที่สหรัฐอเมริกามองว่ามีนโยบายภาษีแบบ "เลือกปฏิบัติ" หรือดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรานี้พุ่งเป้าไปที่
ประเทศที่เรียกเก็บ "ภาษีบริการดิจิทัล" (Digital Services Taxes - DSTs): นี่คือภาษีที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้เพื่อเรียกเก็บจากรายได้ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram), Google, Amazon ที่ทำธุรกิจในประเทศเหล่านั้น
ประเทศที่ใช้ข้อกำหนดในข้อตกลงภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำระหว่างประเทศ (global minimum corporate taxes): ซึ่งเป็นความพยายามระดับโลกในการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำเพื่อป้องกันการแข่งขันด้านภาษีระหว่างประเทศ (ซึ่งไทยก็เพิ่งประกาศใช้ไปในวันที่ 1 มกราคม 68 ที่ผ่านมา )
ผลกระทบหลักๆ ของ Section 899 จะตกอยู่ที่ "รายได้พาสซีฟ" (passive income) ของนักลงทุนต่างชาติที่ถือครองทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาค่ะ
รายได้พาสซีฟในที่นี้ก็คือรายได้ที่เราได้รับโดยไม่ต้องทำงานอย่างแข็งขันในขณะนั้น เช่น ดอกเบี้ย (interest) จากพันธบัตรหรือเงินฝาก และ เงินปันผล (dividends) จากการถือหุ้นในบริษัทอเมริกัน ซึ่งรายได้เหล่านี้อาจจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้จะเริ่มต้นที่ บวกเพิ่มอีก 5 จุดเปอร์เซ็นต์ในปีแรก และจะค่อยๆ ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอีกปีละ 5 จุดเปอร์เซ็นต์ จนกระทั่งสูงสุดที่บวกเพิ่มถึง 20 จุดเปอร์เซ็นต์ เหนืออัตราภาษีปกติที่กฎหมายกำหนดไว้ ลองนึกภาพดูนะคะว่าภาระภาษีจะหนักหน่วงขึ้นขนาดไหน
นักวิเคราะห์หลายคนใน Wall Street ถึงกับเรียกมาตรการนี้ว่าเป็น "มาตรการแก้แค้น" (revenge measure) และได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างมากต่อผลกระทบที่อาจจะตามมา เช่น
อาจขับไล่นักลงทุนต่างชาติออกจากตลาดสหรัฐฯ: ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์ของสหรัฐฯ อย่างพันธบัตรรัฐบาลก็สั่นคลอนอยู่แล้ว จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและปัญหาหนี้สินสาธารณะที่พอกพูนของประเทศ มาตรการ Section 899 นี้อาจจะเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ซ้ำเติมให้นักลงทุนต่างชาติไม่อยากที่จะเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ อีกต่อไป
ไมเคิล บราวน์ นักกลยุทธ์จาก Pepperstone Group ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์ที่มีลูกค้าอยู่นอกสหรัฐฯ ทั้งหมด เล่าว่าเขาได้รับคำถามจากลูกค้าที่กังวลเกี่ยวกับมาตรานี้เข้ามามากมาย จนต้องรีบทำรายงานสรุปเพื่อชี้แจงเป็นการด่วนเลยทีเดียวค่ะ เขาบอกว่า "เรากำลังเผชิญกับตลาดที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่น่าดึงดูดที่สุดสำหรับนักลงทุนต่างชาติอยู่แล้ว ถ้าคุณยังจะมาพูดถึงการปฏิบัติทางภาษีที่ไม่เอื้ออำนวยอย่างมากอีก มันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้อยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า"
กระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และตลาดการเงินโดยรวม: นักกลยุทธ์จาก Morgan Stanley ได้รวมประเด็นเรื่อง Section 899 เข้าไปในคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่าย และได้ข้อสรุปว่า มาตรานี้จะส่งผลให้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง และจะส่งผลกระทบในทางลบต่อ หุ้นของบริษัทในยุโรปที่มีธุรกิจในสหรัฐฯ
จิลส์ โมแอ็ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก AXA Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประกันภัยและการลงทุนขนาดใหญ่ มองว่ามันจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อ อัตราดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งเพิ่งจะแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีไปเมื่อไม่นานนี้เอง
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ เช่น โรเจียร์ เควดฟลิก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก ABN Amro Bank ก็เห็นพ้องต้องกันว่ามัน "ฟังดูน่ากังวลจริงๆ" และการจำกัดอุปสงค์ใหม่ๆ จากต่างชาติจะ "สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์อย่างแน่นอน"
อาจจุดชนวน "สงครามเงินทุน" (Capital War) ครั้งใหม่: คำนี้ฟังดูน่ากลัวนะคะ และคนที่ใช้คำนี้ก็คือ จอร์จ ซาราเวโลส หัวหน้าฝ่ายวิจัยอัตราแลกเปลี่ยนของ Deutsche Bank AG โดยเขาเขียนในรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มาตรานี้เปรียบเสมือน "การใช้ตลาดทุนของสหรัฐฯ เป็นอาวุธที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมาย" และมัน "ท้าทายลักษณะเปิดของตลาดทุนสหรัฐฯ ด้วยการใช้การเก็บภาษีจากการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ของต่างชาติเป็นเครื่องมือในการผลักดันเป้าหมายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ"
เขามองว่ากฎหมายนี้ "สร้างช่องทางให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถเปลี่ยนสงครามการค้าให้กลายเป็นสงครามเงินทุนได้หากต้องการ" ซึ่งเป็นพัฒนาการที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งในบริบทที่ศาลเพิ่งมีคำตัดสินจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ในเรื่องนโยบายการค้า
"สงครามเงินทุน" ในที่นี้หมายถึงการที่ประเทศต่างๆ อาจจะใช้เครื่องมือนโยบายการเงินและการคลังเพื่อดึงดูดหรือผลักไสกระแสเงินทุน เพื่อสร้างความได้เปรียบหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอื่น
ประเทศที่อยู่ในข่ายอาจจะโดนผลกระทบจากมาตรการ Section 899 นี้ก็มีรายชื่อออกมาบ้างแล้วนะคะ เช่น แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น
เบื้องหลังแนวคิด Section 899: ต้องการความเป็นธรรม หรือใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง?
มีนักวิเคราะห์บางคนมองว่าแนวคิดเบื้องหลังมาตรา 899 นี้ มีความคล้ายคลึงกับข้อเสนอของ สตีเฟน มิแรน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวค่ะ โดยสมัยที่เขายังทำงานอยู่ที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Hudson Bay Capital เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เขาเคยหยิบยกความเป็นไปได้ในการเรียกเก็บ "ค่าธรรมเนียมผู้ใช้" จากนักลงทุนต่างชาติที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะช่วยกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าโลกที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรม
นักวิเคราะห์อย่าง วิลล์ เดนเยอร์ และ ทัน ไค เซียน จาก Gavekal Research เขียนไว้ว่า "เห็นได้ชัดว่ามาตรานี้ได้รับการรับรองจากรัฐบาล และถูกออกแบบมาเพื่อให้ทรัมป์มีเครื่องมือในการเจรจาเพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ ยกเลิกภาษีบริการดิจิทัลและภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก ซึ่งเขามองว่าเป็นการกำหนดเป้าหมายที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ" แต่พวกเขาก็เตือนว่า "ปัญหาก็คือ ก่อนที่ทรัมป์จะมีโอกาสได้ใช้เครื่องมือใหม่นี้ การมีอยู่ของมันเพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้ตลาดพันธบัตรปั่นป่วนได้แล้ว"
โอกาสที่ Section 899 จะผ่านเป็นกฎหมายมีมากน้อยเพียงใด?
แม้ว่ามาตรการนี้จะดูน่ากังวลและอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่บริษัทที่ปรึกษาอย่าง Signum Global Advisors ซึ่งก่อตั้งโดย ชาร์ลส์ ไมเยอร์ส อดีตผู้บริหารใน Wall Street และมี ลิว ลูเคนส์ เป็นหุ้นส่วน คาดการณ์ว่ามาตรานี้ มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในร่างกฎหมายฉบับสุดท้าย ที่จะออกมาเป็นแพ็กเกจกระทบยอดงบประมาณ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามันได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากสมาชิกรัฐสภาของพรรครีพับลิกัน
พวกเขายังให้ความเห็นอีกว่า "เราเชื่อว่ามุมมองของประธานาธิบดีก็คือ มีความต้องการจากต่างชาติที่อยากจะลงทุนในสหรัฐฯ อย่างมหาศาล จนไม่น่าจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ทิศทางนี้เปลี่ยนแปลงไป" ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่รัฐบาลทรัมป์กล้าที่จะผลักดันมาตรการที่ดูเหมือนจะเสี่ยงต่อการขับไล่นักลงทุนต่างชาติเช่นนี้
ขณะที่ไมเคิล บราวน์ จาก Pepperstone ให้ความเห็นที่น่าสนใจส่งท้ายว่า เหตุผลที่ตลาดยังไม่ได้มีปฏิกิริยาที่รุนแรง อาจเป็นเพราะนักลงทุนยังไม่ได้ตระหนักถึงนัยสำคัญของมาตรานี้อย่างเต็มที่ แต่พวกเขากำลังเริ่มที่จะให้ความสนใจมากขึ้นแล้ว "มันเหมือนกับว่าพอฝุ่นเริ่มจางลง ผู้คนก็เริ่มคิดว่าอาจจะมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวของร่างกฎหมายนี้ที่เราควรจะให้ความสนใจมากขึ้น และผมคิดว่า Section 899 นี่แหละคือหนึ่งในนั้น"
คำพูดนี้เหมือนเป็นการเตือนว่า คลื่นใต้น้ำอาจจะกำลังก่อตัว และเมื่อมันปะทุขึ้นมา ผลกระทบอาจจะรุนแรงกว่าที่คาดคิดก็เป็นได้
บทสรุปส่งท้าย: ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด
โอ้โห เล่ามายาวขนาดนี้ ทุกคนคงจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมคะว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะที่เกี่ยวพันกับนโยบายของสหรัฐอเมริกานั้น มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจริงๆ ทั้งเรื่องมหากาพย์กำแพงภาษีที่ยังต้องลุ้นกันอีกหลายยก ว่าศาลจะตัดสินออกมาในทิศทางไหน และรัฐบาลทรัมป์จะหาทางรับมือหรือตอบโต้อย่างไรต่อไป รวมถึงภัยเงียบที่อาจจะกำลังก่อตัวจากมาตรา 899 ในร่างกฎหมายภาษี ที่อาจจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อนักลงทุนทั่วโลก และอาจจะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การลงทุนไปอย่างสิ้นเชิง
การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญๆ ในระดับประเทศมหาอำนาจแบบนี้ ย่อมสร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินและการลงทุนทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ อัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ไปจนถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ล้วนแล้วแต่สามารถได้รับผลกระทบได้ทั้งสิ้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. เพจBeauty Investor