เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘วิกฤติ‘ ไร้เครื่องยนต์ใหม่- ‘หนี้ล้น‘
องค์กร-หน่วยงานเอกชน ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังวิกฤติ ไร้เครื่องยนต์ใหม่ เผชิญปัญหาหนี้ล้น ฉุดรั้งจีดีพี ภาคการผลิตถดถอย

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่กลางทางแยกของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และประชากร มีโจทย์สำคัญในระยะสั้น และระยะยาวหลายประการที่ต้องเร่งแก้
และจากปัญหาเฉพาะหน้าที่เราเผชิญวันนี้ ทั้งจากผลกระทบเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ผลกระทบจากนโยบาย “ทรัมป์” จะนำพาเศรษฐกิจไทยเดินเข้าสู่ “วิกฤติ” หรือไม่
“รักษ์ วรกิจโภคาทร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ฉายภาพให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทย ครึ่งปีหลัง 2568 หลังจากนี้ว่าสถานการณ์ “น่าห่วง”
โดยจุดชนวนสำคัญที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย คือสถานการณ์ “หนี้” ทั้งครัวเรือนและธุรกิจไทยยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่อาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ถึงต้นปีหน้าได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1.2-1.5 ล้านล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้
ซึ่งหากดูภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ถูกมองว่าเป็น “K-shape” แต่เป็น K ที่หางข้างบนสั้นกว่าข้างล่างหมายถึงจำนวน “คนตาย” คนที่กำลังจะตายจากธุรกิจที่ล้มเหลว มีมากกว่า “คนเกิด” หรือธุรกิจที่ฟื้นตัว
ดังนั้น ภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องควรเร่งฟื้นฟูผู้ประกอบการที่เป็นหนี้เสียให้ฟื้นตัวและกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายในระบบ
“ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์โลก
โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค ประกอบกับข้อพิพาททางการค้าในเวทีโลกที่ยังไม่คลี่คลายเต็มที่ โดยการเจรจาหลายประเด็นสำคัญยังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการ และคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนก.ค.นี้
โดยมองว่าการเจรจาการค้าในระดับนานาชาติยังไม่จบ ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่หลายประเทศทั่วโลกยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ ซึ่งช่วง 90 วันนับจากนี้ โดยเฉพาะก่อนสิ้นเดือนก.ค. จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยต่อไป
อีกปัจจัยที่มีผลกระทบเศรษฐกิจไทย คือปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความไม่แน่นอนในทางการเมืองส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนทั้งของนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ
“ถ้าการเมืองยังไม่นิ่ง การลงทุนก็จะชะลอตาม และจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม”
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก มีสัญญาณบางอย่างที่พอจะเป็นบวก โดยเฉพาะภาคการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ซึ่งหลายภาคธุรกิจพยายามเร่งการผลิตและส่งออกให้มากที่สุดก่อนผลกระทบจากมาตรการการค้าจะเริ่มมีผลเต็มที่ แต่หากดูการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมตลอดทั้งปีนี้อาจยังไม่สดใสนัก
“ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างในปัจจุบัน เรามองว่าจีดีพีไทยในปีนี้อาจโตไม่ถึง 2% ซึ่งนั่นหมายความว่า รายได้ภาครัฐจะลดลง และส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจำกัด”
ดังนั้นภายใต้บริบทดังกล่าว รัฐบาลจำเป็นต้องมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อประคองกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อได้ เพราะภาคเอกชนเองยังคงมีท่าทีระมัดระวังในการลงทุนอย่างชัดเจน
เหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้น เช่นเดียวกันตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะตัวมากกว่าปัจจัยโลก นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนไปตั้งแต่ต้นปีจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนคนไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ยังไม่ชัดเจน เช่น ประเด็น LTF ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุน
“จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้ง Bitkub มองว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ มีทั้งเรื่องระยะสั้นและเรื่องยาว ความท้าทายเร่งด่วนที่สุดในระยะสั้นของประเทศไทยคือ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งทะลุ 90% ต่อจีดีพี ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจฐานรากและความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจขยายวงกว้างหากไม่มีมาตรการจัดการอย่างจริงจัง
ดังนั้น ความจำเป็นในการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน เพราะหากไม่สามารถลดได้การบริโภคภายในประเทศก็จะชะลอลงอย่างถาวร ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งระบบ
อีกหลายปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ทั้งจากปัญหา “ไทยแก่ก่อนรวย” ประชากรไทยมากกว่า 20% ในปัจจุบันมีอายุมากกว่า 60 ปี และในอีกไม่ถึง 5 ปี ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคม Super Aging อย่างเต็มรูปแบบ ผลที่ตามมาคือศักยภาพการผลิตของประเทศจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
และมองว่าปัญหาวันนี้ที่ใหญ่ที่สุดคือ วิกฤติสุขภาพ ที่กำลังถูกคุกคามความยั่งยืนของระบบประกันสังคมและกองทุนสุขภาพของรัฐ วันนี้ไทยมีผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมาก ยังขาด Health Literacy อย่างรุนแรง ไม่ต่างจากวิกฤติการขาดความรู้ทางการเงิน ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ดังนั้นทางออกของประเทศไทยคือต้องผลักดันศูนย์กลางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Longevity & Wellness Hub)
“วันนี้ประเทศไทยเราขาด Growth engine เราแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ดังนั้นสิ่งที่หวังได้คือ การหาทางรอด ทางออกสำหรับประเทศไทยคือการมุ่งไปสู่ wellness hub ต่างๆที่จะสร้างการเติบโตใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยได้”
“กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 นี้น่าจะเติบโตได้เพียง 1.8% แม้ว่าในไตรมาสแรกตัวเลขจะดูดีอยู่ที่ 3.1% แต่เมื่อดูแนวโน้มไตรมาส 2-4 แล้วคาดว่าการเติบโตจะชะลอลงเหลือเพียง 1% ต้น ๆ เท่านั้น สะท้อนภาวะการบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และแรงกระตุ้นจากนโยบายรัฐที่ไม่สามารถสร้างโมเมนตัมทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน
สอดคล้องกับโลก ที่ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการจีดีพีโลกลงเหลือ3.1% ต่ำกว่าก่อนโควิด โดยมีจุดชนวนสำคัญมาจาก “สหรัฐ” ที่เป็นจุดศูนย์กลางของความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
“วิน พรหมแพทย์” CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย กล่าวว่า ภายใต้โลกที่ผันผวน เศรษฐกิจมีความเปราะบางเขาเชื่อว่า ตลาดการเงินโลกเริ่มเบาใจมากเกินไป จากสถานการณ์สงครามภาษีของสหรัฐ ผ่อนคลายชั่วคราว เพราะหลังจากก.ค.นี้ หลังครบ 90 วัน อาจเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจกลับมาใช้มาตรการที่รุนแรงกว่าเดิม
ดังนั้นตอนนี้เหมือนพายุยังไม่เข้าเต็มตัว แต่เรากำลังยืนอยู่บนชายหาด ถ้าไม่เตรียมตัว พอร์ตก็อาจพังได้ ดังนั้นการอยู่รอดท่ามกลางความปั่นป่วนนี้ นักลงทุนจัดพอร์ตหลัก 80% ของเงินลงทุน ต้องกระจายความเสี่ยงหลายสินทรัพย์และกระจายการลงทุนทั่วโลกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง
ทางออกและโอกาสของ “เศรษฐกิจไทย”
“ณัฐพรรษ ตันบุญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นนั้น สำหรับลูกค้ารายใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีการคาดการณ์สถานการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และแผนการลงทุนนอกประเทศจีนของพวกเขาก็ยังคงดีอยู่
แต่ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบันมีความผันผวนสูงมาก จึงจำเป็นต้องติดตามกันเป็น “รายสัปดาห์” และ “รายเดือน” รวมถึงภาคส่งออก จำเป็นต้องพิจารณาเป็นรายภาคส่วน รายย่อย หรือแม้กระทั่งรายบุคคล
เขามองว่า ทางรอดของเศรษฐกิจไทยคือ ต้องสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามานี้ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้า Data Center ที่เข้ามาลงทุนในไทย คาดว่าจะวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI ดังนั้น ภารกิจสำคัญของประเทศไทยคือการหาวิธีใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่สำคัญนี้ที่ได้ดึงดูดเข้ามาได้แล้ว
“พิริยะ สัมพันธารักษ์” ผู้ก่อตั้ง Right Shift และกรรมการผู้จัดการ บริษัท CDC chalokDotCom กล่าวว่า ประเด็นที่ว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงจาก “คนคนเดียว” นั้นอาจเป็นคำพูดที่ “มักง่ายไปหน่อย”
เพราะเขามองว่าปัญหาของระบบเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้มาจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นผลพวงที่สะสมมาตลอดระยะเวลาประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจหรือเป็นรัฐบาล ล้วนมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดปัญหานี้ทั้งสิ้น รวมถึงอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่แล้วด้วย
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยได้ลดลงจนถึงระดับศูนย์ และไม่สามารถลดต่ำลงไปได้อีกปริมาณหนี้ของรัฐบาลที่เกิดขึ้นใน 1 ปีปัจจุบัน เทียบเท่ากับการสร้างหนี้หลายร้อยปีในอดีต การใช้หนี้รัฐบาลในปัจจุบันไม่ใช่การใช้คืนจริง แต่เป็นการสร้างหนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า
คล้ายกับการเปิดบัตรเครดิตใหม่มาโปะบัตรเก่าไปเรื่อยๆพฤติกรรมเช่นนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะนำไปสู่ “หายนะ”
“ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ในฐานะประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง ทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ไปจนถึงทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางใหญ่
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น อาจไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนกังวล ที่ยังเห็นแสงสว่างในภาคธุรกิจ บริการ และตลาดทุน โดยมี “Growth Engine” ใหม่ ๆ ที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นและปลดล็อกอุปสรรคเชิงโครงสร้างได้ทัน
“ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไร เช่น น้ำท่วมใหญ่ หรือวิกฤติภายนอกที่รุนแรง ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะไปต่อได้”
ที่มาข้อมูลเนื้อหาข่าวจาก.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1185139