ต้องบอกว่าศึก Premier league ปี 2019 นี้กำลังจะกลายเป็น “เกมพลิก” แม้ก่อนหน้านี้Facebook จะได้สิทธิ์จากการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดปี 2019/2020 -2021/2022 ในเมืองไทยและครอบคลุมอีก 3 ประเทศคือลาว, กัมพูชาและเวียดนาม โดยทุ่มเงินกว่าทุ่มเงิน 200 ล้านปอนด์หรือราว 8.8 พันล้านบาท เฉือนเอาชนะ BeIN Sports ผู้ถือลิขสิทธิ์ปัจจุบัน และ Fox Sports Asia
แต่เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2019 ที่ผ่านมา ดีลดังกล่าวกลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถตกลงเงื่อนไขร่วมกันได้ ดีลดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย
จริงๆแล้วหาก Facebook ยังคงได้สิทธิ์การถ่ายทอดสด 3 ปี เจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ของไทยถึง 2 ค่ายคือกลุ่มปราสาททองโอสถเจ้าของช่อง PPTV36 และกลุ่ม CP เจ้าของ True Vision พร้อมที่จะเจรจานำPremier league มาลงแพลตฟอร์มของตัวเองทั้งคู่
โดยทั้งสองค่ายพร้อมจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์เต็มที่ ให้สมศักดิ์ศรีกับความเป็นช่องและแพลตฟอร์มคอนเทนต์ระดับโลก และเวิลด์คลาสทั้งคู่
แต่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาด อีกทั้งทาง Premier league ต้องเตรียมเปิดขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดใน 4 ประเทศอาเซียนใหม่ภายในระยะเวลาจำกัด เนื่องจากการเจรจาต้องแล้วเสร็จก่อนเปิดฤดูกาล2019-20 ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้
จนถึงตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 4 เดือนสุดท้ายดีลนี้จะกลายเป็น “ส้มหล่น” หรือ “เผือกร้อน” ขึ้นอยู่กับผู้ที่ได้ไปว่าจะจัดการออกมาอย่างไรสุดท้ายจะซ้ำรอย “CTH” ที่ได้ไปในราคาแพงแล้วขาดทุนย่อยยับจนหายเงียบไปหรือไม่ ศึกครั้งนี้จึงน่าติดตามไม่น้อย
PPTV ขอผ่านไม่คุ้มประมูลเอง พร้อมเสียบแมตช์สำคัญดีกว่า
สำหรับ PPTV ผู้รั้งเรตติ้งเบอร์12 ด้วยตัวเลขเฉลี่ย 0.164 ในปีที่ผ่านมายังคงยืนยันคำเดิม พร้อมซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอล Premier league ให้ผู้ชมได้รับชมอย่างที่ผ่านมา ตามแผนงานของ PPTV ที่ชูความเป็นWorld Class TV and More
จากคอนเทนต์กีฬาเวิลด์คลาส ภายใต้งบลงทุนทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านบาท ที่จะใช้ซื้อคอนเทนต์ใน 2019 แน่นอนว่าลิขสิทธิ์ที่จะซื้อพรีเมียร์ลีกก็พร้อมอยู่ในงบก้อนนี้แล้ว
ที่มา : Facebook PPTV HD 36
แม้ตามแผนของปี 2019 PPTV กำลังต้องการเปลี่ยนภาพ “ภาพลักษณ์” จากสถานีสปอร์ตและข่าวที่มีผู้ชมเป็นผู้ชายถึง 60% มาสู่ “ช่องวาไรตี้และบันเทิง” เพื่อขยายไปสู่ผู้ชมระดับแมสทั่วประเทศและฐานผู้ชมผู้หญิงมากขึ้น
ผ่านการเพิ่มคอนเทนต์บันเทิงจากสัดสัดส่วน 30% เป็น 50% ส่วนกีฬาลดลงเหลือ 20% ซึ่งกีฬาจะรีรันเฉพาะแมตช์ใหญ่จริงๆ เท่านั้น ส่วนข่าว 30%
แต่สำหรับ Premier league ถือเป็นลีกกีฬาชื่อดังที่แม้แต่ PPTV ยังพลาดไม่ได้ต้องทุ่มงบเข้าสู้แม้ตัวเลขผลประกอบการที่ผ่านมายังอยู่ในภาวะ “ขาดทุน” ที่สำคัญยังเพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย
โดยรายได้ย้อนหลัง 5 ปีของ PPTV มีดังนี้
- ปี 2013 รายได้รวม 21,405.53 บาท ขาดทุน 97,292,543.399 บาท
- ปี 2014 รายได้รวม 55,283,278.45 บาท ขาดทุน 1,102,611,292.49 บาท
- ปี 2015 รายได้รวม 195,913,758.01 บาท ขาดทุน 1,799,181,675.83 บาท
- ปี 2016 รายได้รวม 232,616,122.11 บาท ขาดทุน 1,996,374,458.88 บาท
- ปี 2017 รายได้รวม 317,156,058.71 บาท ขาดทุน 2,028,758,383.87 บาท
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารช่อง PPTV กล่าวว่า
“PPTV ยังคงสนใจได้สิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาออกอากาศทางช่อง PPTV36 แม้ว่า Facebook จะล้มดีลไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจาก PPTV เป็นช่องฟรีทีวีย่อมไม่สามารถที่จะถ่ายทอดสดได้ครบทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาลได้จึงไม่มีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลเองแต่มองในลักษณะการเป็นพันธมิตรร่วมถ่ายทอดสดคู่สำคัญในแพลตฟอร์มฟรีทีวีเป็นหลัก”
อย่างไรก็ตามจากเงื่อนไขเรื่องของเวลาที่เหลือน้อยในการทำตลาด จึงคาดเดาได้ยากว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลครั้งใหม่นี้มากน้อยเพียงใด รวมถึงราคาในการประมูลก็คาดเดาได้ยากเช่นกัน ว่าจะสูงขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด ซึ่งอย่างน้อยที่สุดเชื่อว่า True Vision จะเป็นรายหลักๆที่เข้าร่วมประมูลใหม่ในครั้งนี้
หาก True Vision ได้ไปย่อมต้องให้ทางช่อง True 4U ซึ่งเป็นฟรีทีวีของตนเองได้สิทธิ์ในการร่วมถ่ายทอดสดแมตช์สำคัญด้วยตามเงื่อนไขของทาง Premier league แต่ทาง PPTV เชื่อว่าทางช่อง PPTV เองพร้อมที่จะร่วมเป็นพันธมิตรฟรีทีวีถ่ายทอดสดอีกช่องหนึ่งเช่นกัน
แต่หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องยอมรับความจริง ส่วนจะมีแผนสำรองรับมือหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ PPTV ขอดูสถานการณ์ก่อน แม่ทัพ PPTV กล่าวทิ้งทาย
ย้อนรอย 20 ปีลิขสิทธิ์ Premier league ในไทย
รูป : Facebook TrueVisions
ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ Facebook ประมูลได้ทาง True Vision ก็บอกเองว่าพร้อมที่จะเจรจาสิขสิทธิ์กับFacebook เพื่อนำ Premier league มาลงจอของตัวเองโดยสาเหตุที่ True Vision ต้องทุ่มหนัก เพราะที่ผ่านมาแม้ฐานผู้ใช้งานของ True Vision จะเพิ่มทุกปี แต่รายได้ต่อเดือนก็ลดลงอย่างน่าใจหายเช่นเดียวกัน
- ปี 2014 ฐานลูกค้า 2,471,770 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 715 บาทต่อเดือน
- ปี 2015 ฐานลูกค้า 3,063,475 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 523 บาทต่อเดือน
- ปี 2016 ฐานลูกค้า 3,930,035 คนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 379 บาทต่อเดือน
- ปี 2017 ฐานลูกค้า 3,964,985 คนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 311 บาทต่อเดือน
- ปี 2018 ฐานลูกค้า 4,056,625 คนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 298 บาทต่อเดือน
ขณะเดียวกันรายได้ของ True Vision ยังอยู่ในภาวะ “ขาดทุน” เมื่อนับรวมทั้งเครือที่มี 12 บริษัทกิจการร่วมค้า 1 บริษัทและบริษัทร่วม 1 บริษัท แต่หากนับเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Pay TV โดยตรงจะมี 2 บริษัทด้วยได้ได้แก่
บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
- ปี 2015 รายได้รวม 17,108,718 บาท ขาดทุน 774,394,603 บาท
- ปี 2016 รายได้รวม 39,400,814 บาท กำไร 28,276,613 บาท
- ปี 2017 รายได้รวม 7,615,330 บาท ขาดทุน 13,161,447 บาท
บริษัท ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน)
- ปี 2015 รายได้รวม 143,707,840 บาท ขาดทุน 155,154,807 บาท
- ปี 2016 รายได้รวม 97,015,719 บาท ขาดทุน 55,489,746 บาท
- ปี 2017 รายได้รวม 78,373,471 บาท ขาดทุน 49,526,961 บาท
ดังนั้นหากสามารถดึง Premier league มาไว้ในมือได้ คงช่วยให้ True Vision สามารถเพิ่มรายได้และพลิกกลับมามีกำไรอีกครั้งคง เพราะสามารถทำโปรโมชั่นและดึงค่าโฆษณาได้เต็มๆ โดยแหล่งข่าวจากทาง True Vision กล่าวว่า
"True Vision เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษทุกครั้ง ซึ่งช่วงหลังมีทั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง และครั้งนี้ทรูวิชั่นส์พร้อมที่จะประมูลเช่นเดียวกัน แต่ต้องคุ้มที่จะลงทุนด้วย"
ดังนั้น 3 เดือนจากนี้จึงเป็นเงื่อนไขของการประมูล Premier league ที่สำคัญที่จะส่งผลต่อราคาที่ประมูลเพราะถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นไม่เพียงพอต่อการทำการตลาดรวมถึงการหาสปอนเซอร์หรือขายสมาชิก
สุดท้ายพรีเมียร์ลีกจะกลายเป็น “ส้มหล่น” หรือ “เผือกร้อน” ในกำมือใคร และคนไทยจะได้ชมผ่านช่องทางใดนั้น ผู้ที่ได้ไปคือผู้ตัดสิน ภายใต้การบริหารจัดการที่ต้องเจนสนามพอตัว
ต้องมาลุ้นกันครับว่าคนไทยจะได้ดูฟุตบอล Premier league อังกฤษ ลีกอันดับหนึ่งของโลกที่คนไทยนิยมรับชมมากที่สุด จากเจ้าไหนและช่องทางใด ไม่ว่าใครจะได้ไปก็ขอให้คุ้มค่าและราคามิตรภาพนะคร๊าบบ
ขอบคุณที่มาเนื้อหา