ใครกันแน่! ที่ขายไฟเข้าระบบมากสุด อัปเดตกำลังการผลิต ขาใหญ่โรงไฟฟ้าไทย

อัปเดตกำลังการผลิต ขาใหญ่โรงไฟฟ้าไทย

ใครกันแน่! ที่ขายไฟเข้าระบบมากสุด

.

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามีปัจจัยบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดภาครัฐได้กำหนดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานพลังงานหมุนเวียน 3 ประเภท ได้แก่ ก๊าซชีวภาพ, พลังงานลม, พลังงานแสงอาทิตย์ รวมปริมาณรับซื้อราว 5.2 พันเมกะวัตต์ ถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม Wealthy Thai จะพานักลงทุนสำรวจกำลังการผลิตของหุ้นโรงไฟฟ้าชั้นนำของไทย ว่าแต่ละบริษัทจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เท่าไหร่กันบ้างแล้ว

.

หากสะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส มีความเห็นว่า จากการที่ภาครัฐได้กำหนดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานพลังงานหมุนเวียน 3 ประเภท ได้แก่ ก๊าซชีวภาพ, พลังงานลม, พลังงานแสงอาทิตย์ รวมปริมาณรับซื้อราว 5.2 พันเมกะวัตต์ ซึ่งได้กำหนดกรอบการดำเนินงานให้ผู้ประกอบการยื่นเสนอขายไฟฟ้าได้จนถึง 25 พ.ย. 2565

.

โดยการไฟฟ้าจะประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านคุณสมบัติภายในวันที่ 2 ธ.ค. 2565 ซึ่งผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติสามารถยื่นอุทธรณ์พร้อมเอกสารได้ภายในวันที่ 15 ธ.ค. 2565 และจะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกภายในวันที่ 15 มี.ค. 2566 หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลำดับถัดไป

.

ประเด็นดังกล่าว ถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ให้ความสนใจ และเข้าร่วมในการประมูลเสนอขายไฟฟ้าในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุในรายละเอียดได้ โดยกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างศึกษามีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วราว 3.3 หมื่นเมกะวัตต์ แบ่งเป็น

.

1.โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน (Conventional Energy) ราว 2.4 หมื่นเมกะวัตต์ (สัดส่วน 72.5% ของกำลังการผลิตที่ COD แล้วในปัจจุบัน) และ 2.โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ราว 9.2 พันเมกะวัตต์ (สัดส่วน 27.5% ของกำลังการผลิตที่ COD แล้วในปัจจุบัน)

.

ทั้งนี้คาดการเปิดรับซื้อไฟฟ้า 5.2 พันเมกะวัตต์ดังกล่าว จะช่วยให้กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าที่ COD แล้วทั้งหมดเพิ่มขึ้น 15.6% จากเดิมมาอยู่ที่ 3.9 หมื่นเมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นราว 56.7% จากเดิม มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นเมกะวัตต์ และส่งผลให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 37% จาก 28%