-------------------------------------------------------
บทความตอนที่ผ่านๆ มาอ่านได้จาก: www.chiangmaifx.com/component/content/article/93-article-by-cmfx/808-price-patterns.html
www.facebook.com/275391639215535/photos/pcb.1603468543074498/1603467323074620/
-------------------------------------------------------
- เส้นอัตราส่วน Proportionate Moves, Retracements และอื่น ๆ
กฎการเคลื่อนที่ระบุไว้ว่าการกระทำทุกครั้งจะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ซึ่งแนวโน้มราคาในตลาดการเงินเป็นตัวชี้วัดจิตวิทยาฝูงชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราคาและอยู่ภายใต้กฎการเคลื่อนที่นี้ด้วย โดยที่เราจะเห็นการแกว่งตัวของอารมณ์ตลาดเหล่านี้อยู่ในเส้น proportionate moves ของราคา
หลักการแบ่งเป็นสัดส่วนที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือ กฎ 50 เปอร์เซ็นต์ ที่นักลงทุนนำมาใช้กับตลาดหุ้นที่เข้าสู่ขาลงหรือตลาดหมี (Bear Market) ทั้งหลาย จากประวัติที่ผ่านมาดัชนี DJIA (ดาวโจนส์) จะลดลงถึงครึ่งหนึ่งในปีที่เป็นตลาดหมี เห็นได้จากช่วงวิกฤติในปี 1901-1903, 1907, 1919-1921 และ 1937-1938 ดัชนีดาวโจนส์หล่นลงไปอยู่ที่ 46, 49, 47 และ 50 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ถ้าดูจากขาลงขาแรกในปี 1929-1932 ซึ่งจบรอบลงที่ระดับ 195 ในเดือนตุลาคม 1929 ประมาณว่าเป็นครึ่งหนึ่งของดัชนีของเดือนกันยายน เราจึงคาดเดาว่าราคาในแนวรับน่าจะเป็นครึ่งหนึ่งของราคาด้วย (นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณบอกจุดกลับตัวของราคาได้อีกด้วย)
ดังนั้นเมื่อตลาดหมีสิ้นสุดลงในช่วงระหว่างปี 1970 ถึง 1973 ดัชนีตลาดขยับขึ้นจาก 628 ถึง 1067 จุด เราก็ประมาณการได้ว่าจุดครึ่งทางขาขึ้นของดัชนีอยู่ที่ 848 ซึ่งเกือบเท่ากับระดับดัชนีที่เริ่มต้นของตลาดขาขึ้นขาแรกของปี 1973-1974
ในทำนองเดียวกันเมื่อพิจารณาจากตลาดที่เป็นขาขึ้น เรามักเจอแนวต้านหลังจากราคาพยายามไต่ระดับจากจุดต่ำสุดถึงสองครั้งเสมอ ดูได้จากตลาดขาขึ้นหรือตลาดกระทิง (bull market ) รอบแรกในปี 1932-1937 ที่มีการไล่ระดับโดยเริ่มจาก 40 ไปจนถึง 81 แล้ววกกลับลงมาถึงสองรอบ
อย่างไรก็ตามการกำหนดระยะลงที่แนวรับ 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วงตรงกลางของสัดส่วน 1/3 และ 2/3 retracement จะอธิบายไว้ในบทที่ 2 หัวข้อ peak-and-trough progression เพราะนอกจากจะพบได้โดยทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดและยังทำหน้าที่เป็นแนวรับ/แนวต้านอีกด้วย
การใช้กราฟสเกลอัตราส่วน (ratio scale) มีประโยชน์ในการกำหนดจุดดังกล่าว เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่มีสัดส่วนเท่ากัน จะทำให้สามารถคาดการณ์ทิศทางขึ้น/ลงของราคาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การแกว่งตัวที่สอดคล้องกันเพียงพอที่นักลงทุนสามารถคาดเดาจุดกลับตัวได้ทั้งจุดยอดสูงสุดและจุดต่ำสุด (peak and trough) แต่ให้จำไว้ด้วยว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ซึ่งหมายความว่าการคาดการณ์ไม่ควรทำโดยใช้วิธีเหล่านี้แบบเดี่ยวๆ
การคาดการณ์โดยใช้กฎสัดส่วนยังเหมาะที่จะมาดูว่า การตั้งราคาเป้าหมายสอดคล้องกับจุดแนวรับ/จุดแนวต้านก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งมันอาจกลายเป็นจุดกลับตัวได้ ถ้ามันทะลุแนวรับ/แนวต้านไปมากๆ หรืออย่างน้อยก็เป็นแนวกั้นชั่วคราวได้ เมื่อราคาหลักทรัพย์กำลังขึ้นถึงจุดสูงสุดใหม่เส้นแนวโน้มขาขึ้นก็ต้องขยายขึ้นไปอีก โดยจุดที่เส้นแนวโน้มตัดกับราคาที่คาดเอาไว้โดยใช้กฎสัดส่วนอาจเป็นตัวแทนเวลาและตำแหน่งของจุดกลับตัวที่สำคัญได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตามหลักทรัพย์แต่ละประเภทต่างมีลักษณะเฉพาะของตัวเองซึ่งบางประเภทก็เหมาะที่จะใช้กับวิธีการนี้
Chart 3-5 เป็นกราฟราคาของ Dollar General ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ใช้สัดส่วน 1/3, 2/3, และ 50 เปอร์เซ็นต์ retracements ในกรณีนี้การลดลงของราคาจาก A ถึง B คิดเป็น 100% ของราคาที่เปลี่ยนแปลง ถ้าเราต้องการหาจุดต้านที่มีโอกาสทำให้เกิดการรีบาวด์ เราจะพบว่าตำแหน่งที่ดีที่สุดในการติดตามก็คือ สัดส่วน 1/3, 2/3 และ 50% retracements เมื่อดูที่กราฟการไล่ราคาจะจบลงที่จุด C ในระดับ 50% และ ที่ D ในระดับ 66% หรือคิดเป็นสัดส่วน 2/3 retracement นั่นเอง
Chart 3-5 ราคารายวันของ Dollar General ระหว่างปี 1999-2000
นักวิเคราะห์กราฟเชิงเทคนิคหลายคนใช้ลำดับตัวเลข Fibonacci ที่ค้นพบโดย Leonardo Fibonacci ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีในศตวรรษที่ 13 ลำดับตัวเลขมีคุณสมบัติหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นคือจำนวนถัดไปของมันจะเท่ากับผลรวมของจำนวนสองจำนวนที่อยู่ก่อนหน้า อย่าง 5 และ 8 = 13, 8 และ 13 = 21 เป็นต้น ความสำคัญของลำดับตัวเลขในการหาแนวรับ/แนวต้านของเราคือ มันเป็นแนวทางสำหรับการหาเส้นอัตราส่วน proportionate moves ตัวอย่างเช่นลำดับเลขถัดจาก 50% คือ 61.8% และลำดับเลขก่อนหน้านี้คือ 38.2% เป็นต้น
ใน Charts 3-6 และ 3-7 เป็นกราฟแสดงราคาของ Palladium ใน Chart 3-6 จะเห็นว่าระหว่างปี 1997-1998 มีการไล่ราคาครั้งใหญ่ถึงระดับ 100% ของราคา ส่วนตำแหน่ง BC และ BD เป็นระดับราคาในแนวรับที่ 61.8% และ 50% retracements ตามลำดับ จะเห็นว่าระดับ 61.8% ในปี 1998 เป็นแนวรับที่กินเวลายาวนานช่วงหนึ่งทีเดียว นอกจากนี้ในปี 1998 และ 1999 ยังมีระดับ 23.6% (ตัวเลข Fibonacci จะได้มาจากการหารตัวเลขลำดับหลังด้วยตัวเลขลำดับหน้า) ที่เป็น pivotal point ซึ่งเริ่มลากจากจุด E เป็นเส้นสีดำหนา
Chart 3-6 ราคารายวันของ Palladium ระหว่างปี 1997-2000
เราใช้หลักการเดียวกันใน Chart 3-7 เพื่อคาดการณ์ราคาที่แกว่งตัว upside ขึ้นไปทางด้านข้าง โดยที่ AB เป็นสัดส่วน 100 % ของราคาที่ลดลง และเส้นจะถูกลากตาม Fibonacci proportions ที่แกว่งตัวขึ้นไปทางด้านข้าง ในกรณีนี้จะใช้อัตราส่วนจากการหารตัวเลขที่สูงขึ้นถัดไปด้วยตัวเลขปัจจุบันคือ 1.61 จากนั้นก็จะเป็น 2.61 และอื่นๆ ต่อไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าราคาระดับ 161.8% และ 261.8% ได้กลายเป็น pivotal points ที่สำคัญของพฤติกรรมราคาในอนาคต อันที่จริง ถึงจะประกันไม่ได้ว่าระดับสัดส่วนเหล่านี้จะต้องเป็น pivotal points ที่สำคัญเสมอไปก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นจุดที่ดีที่สุดในกราฟ สำหรับนักลงทุนที่กำลังหาราคาที่น่าจะเป็น
Chart 3-7 ราคารายวันของ Palladium ในระหว่างปี 1996-2000
------จบบทความแปล Price Pattern ตอนที่ 4, www.chiangmaiFX.com------