ปตท.จ่อล้มโครงการ 2 แสนล้าน
ปตท.จ่อทบทวนแผนการลงทุนทั้งกลุ่ม 9 แสนล้านบาทใหม่ ชงบอร์ดพิจารณา 30 เม.ย.นี้ เล็งชะลอหรือยกเลิก 2 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ชี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องเก็บเงินไว้ใช้รักษาสภาพคล่อง
สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันของทั่วโลกลดลง กระทบต่ออุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน และปิโตรเคมีที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนจากการสำรองน้ำมันดิบและวัตถุดิบ ทำให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่พลังงานของไทย ต้องหันกลับมาทบทวนแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.ในช่วง 5 ปี(2563-2567) วงเงินราว 9 แสนล้านบาท ใหม่ โดยเฉพาะงบการลงทุนของบริษัทในเครือ ซึ่งจะนำเสนอคณะกรรมการบริหารหรือบอร์ดปตท.ในวันที่ 30 เมษายนนี้
โครงการขนาดใหญ่ ที่คาดว่า จะถูกหยิบยกมาพิจารณาการลงทุนใหม่ จะเป็นโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่สหรัฐอเมริกา ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มูลค่าโครงการราว 1.8 แสนล้านบาท ที่ร่วมทุนกับบริษัท Daelim Industrial Co.Ltd. กลุ่มบริษัทผู้นำด้านการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีชั้นนำของเกาหลี ในสัดส่วน 50:50 ตัวโรงงานจะตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโอไฮโอ ใน Belmont County มีกำลังผลิตเอทิลีนปีละ 1.5 ล้านตัน แบ่งเป็น โพลีเอทิลีน ชนิด HDPE กับโมโนเอทิลีนไกลคอล MEG โดยใช้อีเทน (Ethane) จากแหล่ง Marcellus กับ Utica Shale Gas โดย PTTGC America ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้เงินลงทุนในการศึกษา-พัฒนาโครงการนี้ไปแล้วกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รวมถึงโครงการโครงการผลิตอะโรเมติกส์ (MARS) มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ผลิตพาราไซลีน 1-1.3 ล้านตันต่อปี และเบนซีน 3-5 แสนตันต่อปี โดยใช้วัตถุดิบเฮฟวีแนฟธาจากไออาร์พีซีที่เดิมเคยส่งออกหันมาสร้างเพิ่มมูลค่า ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ตามแผนงานการก่อสร้างปี 2567
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในการพิจารณาทบทวนงบการลงทุนของกลุ่มปตท.ปกติ บอร์ดปตท.จะพิจารณาทุก 6 เดือน แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระทบไปทั่วโลก ทำให้การบริโภค การใช้น้ำมัน ของประชาชนลดลง กระทบไปยังธุรกิจต่าง ประกอบกับจีนมีนโยบายการลงทุนในประเทศตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมี เพื่อใช้เองในประเทศเหลือถึงส่งออก ส่งผลให้การส่งออกของไทยที่พึ่งตลาดใหญ่จากจีนได้รับผลกระทบ
ดังนั้น ด้วยสถานการณ์ของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลลดลงต่อเนื่อง บวกกับความต้องการใช้น้ำมันลดลง และตลาดส่งออกจำกัด จึงมีความเป็นไปได้ที่จะต้องทบทวนแผนการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมีของบริษัทในเครือใหม่ ที่เห็นอยู่ในขณะนี้มี 2 โครงการ ได้แก่ โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่สหรัฐอเมริกา ของบริษัท พีทีทีจีซี และโครงการผลิตอะโรเมติกส์ (MARS) ของบริษัท ไออาร์พีซี รวมมูลค่าลงทุนทั้ง 2 โครงการกว่า 2 แสนบาท ที่อาจจะพิจารณาชะลอหรือยกเลิกแผนการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากของเดิมมาก แต่ต้องขึ้นอยู่กับบอร์ดจะพิจารณาออกมาอย่างไรในวันที่ 30 เมษายนนี้
“เหตุผลที่ต้องนำมาแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.มาพิจารณาใหม่ เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมาก โครงการไหนที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องชะลอกการลงทุนไว้ก่อน หรืออาจจะยกเลิกได้ เพราะมีความจำเป็นต้องเก็บเงินสำรองไว้ใช้ยามนี้ หรือรักษาสภาพคล่องของกลุ่มไว้ให้มากที่สุด”
นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 17-18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้ส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมัน ในเครือปตท. 3 บริษัท ได้แก่ โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ โรงกลั่นพีทีทีจีซี และโรงกลั่นไออาร์พีซี ได้รับผลกระทบการขาดทุนทางบัญชีจากการส๊อกน้ำมันดิบเป็นจำนวนมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพราะเวลานี้มีส่วนต่างของน้ำมันดิบที่ซื้อมาก่อนหน้ามาเก็บไว้ 30-40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
อีกทั้ง โรงกลั่นยังได้รับรับผลกระทบจากค่าการกลั่นที่ลดลง หรือกลั่นแล้วแทบไม่มีกำไร ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันของโลกและของไทยลดลง โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานที่ไม่มีความต้องการใช้ จึงได้สั่งให้โรงกลั่นน้ำมันในเครือทั้ง 3 โรง ลดกำลังการผลิตลงราม 15-20 % เพื่อลดภาระต้นทุน และลดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ขาดทุน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการที่อยู่ในแผนการลงทุนแล้ว เช่น โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 โครงการก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุด ระยะ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น อีอีซีไอ ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก