เช็คหุ้นกลุ่มธนาคาร เปิดต้นปี !
แบงก์ไหนมีสินเชื่อเติบโตมากที่สุด

.
หุ้นธนาคารยังคงเป็นกลุ่มหุ้นที่โดดเด่นและได้รับความนิยมจากนักวิเคราะห์อย่างมาก ด้วยปัจจัยบวกหลากหลายที่เข้ามาสนับสนุน ทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ผลประกอบการในปี 2566 ที่คาดจะฟื้นตัวได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ แม้ยังเผชิญความท้าทายเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่มผู้ประกอบการ SME และรายย่อย แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันว่ากลุ่มธนาคารไทยยังมีความแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และรองรับความต้องการสินเชื่อได้
.
วันนี้ Wealthy Thai จึงมีข้อมูลสินเชื่อในเดือนม.ค. 66 ของ 8 หุ้นธนาคาร ได้แก่ BBL, KBANK, KKP, KTB, LHFG, SCB, TISCO และ TTB มานำเสนอ มาดูกันว่าเปิดต้นปี 2566 แต่ละธนาคารมีจำนวนสินเชื่อเท่าไหร่ และธนาคารไหนจะมีสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่สุด
.
โดยนักวิเคราะห์จากบล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อเดือนม.ค. 66 ของ 8 หุ้นธนาคารอยู่ที่ 10.9 ล้านล้านบาท ปรับตัวลดลง 1.1% จากเดือนธ.ค. 65 ที่ระดับ 11.0 ล้านล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 1.8% จากเดือนม.ค. 65 ที่มีสินเชื่อรวม 10.7 ล้านล้านบาท โดยสินเชื่อที่ปรับตัวลดลงจากเดือนธ.ค. เนื่องจากสินเชื่อรายใหญ่ปรับตัวลดลงตามการชำระคืน ขณะที่สินเชื่อรายย่อยและ SME กลับมาเพิ่มขึ้นตามการเปิดประเทศ
.
สำหรับธนาคารที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากเดือนธ.ค. 65 คือ KKP หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โดยมีจำนวนสินเชื่อเดือนม.ค. 66 ที่ 3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า จากสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อบ้านที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีสินเชื่อรายใหญ่ที่เป็นระยะสั้นเข้ามาช่วยหนุน รองลงมาเป็น LHFG หรือ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีจำนวนสินเชื่อเดือนม.ค. 66 ที่ 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า จากสินเชื่อบ้านที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
.
ส่วนธนาคารที่มีสินเชื่อลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนธ.ค. 65 คือ BBL หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีจำนวนสินเชื่อเดือนม.ค. 66 ที่ 2.0 ล้านล้านบาท ลดลง 3.4% จากเดือนก่อนหน้า จากการชำระคืนของสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อต่างประเทศ รองลงมาเป็น KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีจำนวนสินเชื่อเดือนม.ค. 66 ที่ 2.2 ล้านล้านบาท ลดลง 1.7% จากเดือนห่อนหน้า จากการชำระคืนของสินเชื่อรายใหญ่
.
และ TTB หรือ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) รวมถึง TISCO หรือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีจำนวนสินเชื่อเดือนม.ค. 66 ที่ 1.3 ล้านล้านบาท และ 2 แสนล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งปรับตัวลดลง 0.6% จากเดือนก่อนหน้า จากสินเชื่อรายใหญ่และ SME ที่เป็น Floorplan ชำระคืนหลังจากจบงาน Motor Expo แต่สินเชื่อเช่าซื้อยังเติบโตได้
.
ไตรมาส 2/66 สินเชื่อเริ่มฟื้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นลบต่อกลุ่มธนาคาร โดยมีมุมมองเป็นลบต่อสินเชื่อในเดือนม.ค. 66 ที่หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนธ.ค. 65 จากสินเชื่อรายใหญ่ที่มีการชำระคืนทั้งในส่วนของ Term และ working cap. ขณะที่สินเชื่อรายย่อยอย่างเช่าซื้อและบ้านยังคงเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าภาพรวมของสินเชื่อในเดือนก.พ. 66 จะยังลดลงเพราะเป็นช่วงของการคืนหนี้ของสินเชื่อรายใหญ่
.
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสินเชื่อรวมทั้งปี 2566 ของกลุ่มธนาคารที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้จะเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน โดยคาดหวังการฟื้นตัวของสินเชื่อจะมีตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับประเด็นของ NPL ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า แต่เชื่อว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมถึงมีการตั้งสำรองต่อ NPL จำนวนมากอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
.
มูลค่าหุ้นยังถูก แนะลงทุน “มากกว่าตลาด”
ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นธนาคาร “มากกว่าตลาด” เพราะ valuation ยังถูก ด้าน NPL แม้ว่าจะยังอยู่ในขาขึ้น แต่เป็นการทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เลือก BBL และ KTB เป็น Top pick ของกลุ่มฯ ขณะที่ KKP จะได้ sentiment เชิงบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้ดีในเดือนม.ค. 66
.
โดย BBL เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio อยู่ในระดับสูงที่สุดในกลุ่มที่ 261% นอกจากนี้ Valuation ยังน่าสนใจ ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 187 บาท
.
ด้าน KTB ได้รับผลดีจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ขณะที่ valuation ปัจจุบันยัง laggard เมื่อเทียบในกลุ่มธนาคาร โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะมี upside เพิ่มจากการใช้ data ใน application เป๋าตังและอื่นๆ ที่ช่วยเหลือรัฐบาล ซึ่งสามารถนำข้อมูลมา crossselling เพิ่มเติมได้อีกในอนาคต ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 20 บาท