CBG ยืนหนึ่งหุ้นร้อนแรง ราคาบวกมากสุดใน SET50 รับเป้าใหม่ 144 บาท
ก่อนหน้านี้เราได้รายงานไปแล้ว อย่างกระแสรักสุขภาพที่มาแรง ทำให้ตลาดเครื่องดื่ม Functional drink ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ซึ่ง CBG หรือบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเครื่องดื่มดังกล่าว แต่ล่าสุดไม่รู้ว่าไปโดนยาดีอะไรมา ราคาหุ้น CBG ยังคงความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
Wealthy Thai ได้ตรวจสอบข้อมูลผ่าน setsmart.com พบว่าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.-24 ก.ค.63)ราคาหุ้น CBG ปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยปิดการซื้อขายของวันที่ 24 ก.ค.63 ระดับ 118.00 บาท เพิ่มขึ้น 23.56% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นหุ้นที่ราคาบวกมากสุดของ SET50 อีกด้วย
จากราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงนั้น CBG ถือเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นช่วงครึ่งหลังปี 63 อ้างอิงจาก สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ที่ระบุว่า 6 หุ้นเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย BAM, CBG, CK, CPALL, SCC, TRUE นอกจากนี้ CBG ยังถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/63 จะออกมาในทิศทางที่ดี สะท้อนจากมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่เปิดเผยว่า หุ้นที่คาดผลกำไรไตรมาส 2 ออกมาดี ได้แก่ BCH, CBG, GPSC, GULF, PRM, PTTGC, SINGER, TACC
CBG กำลังก้าวสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ อีกทั้ง ecosystem ที่สมบูรณ์แบบจะช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาว อ้างอิงจากบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระบุว่า ขณะนี้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 132.00 บาท (เดิม 118.00 บาท) โดย CBG กำลังก้าวสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ อีกทั้ง ecosystem ที่สมบูรณ์แบบจะช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาว ปัจจุบัน CBG เทรดอยู่ที่ PER 32.6 เท่า ต่ำกว่า peer Key catalyst: ยอดขาย Woody C-Lock ที่เติบโตดีกว่าคาด, รายได้จากต่างประเทศที่ขยายตัวมากกว่าคาด
ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ที่ 791 ล้านบาท เติบโต 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 1% จากไตรมาส 1/63 ถึงแม้ว่ารายได้ในประเทศปรับตัวลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2% จากไตรมาส 1/63 จากรายได้รายได้เครื่องดื่มชูกำลังลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาส 1/63 เพราะผลกระทบของ COVID-19 ทำให้มูลค่าตลาด energy drink ของไทยในไตรมาส 2/63 ปรับตัวลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่รายได้จาก Woody C+Lock อยู่ที่ 60 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาส
ส่วนรายได้ต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 4% จากไตรมาส 1/63 โดยเฉพาะ CLMV ที่ยังดีต่อเนื่อง สัดส่วนรายได้จาก CLMV อยู่ที่ 46% ของรายได้ CBG ขณะที่ gross profit margin ขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาส 1/63 เนื่องจาก utilization rate ทีดีขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และ SG&A to total sales ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการรุกทำการตลาด
ธุรกิจ CBG จะยังเติบโต หนุนจากรายได้จากต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ที่ระบุว่า ขณะนี้แนะนำ "ซื้อ" CBG โดยเชื่อว่าธุรกิจ CBG จะยังเติบโต หนุนจากรายได้จากต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูง ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 64 ได้ราคาเหมาะสมที่ 144.00 บาท (เดิม 105.00 บาท) อิง PER ที่ 38 เท่า
ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2%จากไตรมาส 1/63 โดยคาดว่ามีรายได้รวมอยู่ที่ 4,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 1/63 ซึ่งคาดว่ารายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังลดลงจากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว
แต่ถูกชดเชยด้วยรายได้จากต่างประเทศที่คาดว่าจะสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 42.4% ทรงตัวจากไตรมาส 1/63 และเชื่อว่าบริษัทยังสามารถรักษาอัตราการทำกำไรในระดับสูงได้ จากผลิตภัณฑ์ C+Lock ที่มีอัตรากำไรสูง และคาดอัตราค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อยอดขายอยู่ที่ 17.8%
ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 และ 2564 ขึ้น 19% และ 22% ตามลำดับ จากประมาณการเดิม เป็น 3,322 ล้านบาท และ 3,791 ล้านบาท และปรับประมาณการรายได้รวมปี 2563 และ 2564 เป็น 16,618 ล้านบาท และ 18,661 ล้านบาท จากประมาณการเดิม หรือเพิ่มขึ้น 4% และ 7% ตามลำดับ
ขณะเดียวกันคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 63 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเดือน มิ.ย. 63 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ C+Lock รสส้ม ซึ่งเป็นรสชาติใหม่ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้า ทั้งนี้บริษัทคาดเป้ายอดขาย C+Lock ปี 2563 มากกว่า 100 ล้านขวด โดยมีแผนที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศในช่วงไตรมาส 3/63 ซึ่งเชื่อว่าสินค้าจะยังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ตลาดเครื่องดื่ม Functional Drink ยังคงเติบโต
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก