ภายหลังจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ได้กำหนดเงื่อนไขประกอบการอนุญาตรวมธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มบริษัทซีพี จำนวน 7 ข้อ ซึ่งกลุ่มบริษัทซีพีได้แจ้งการรวมธุรกิจ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 มาดูกันว่า แนวทางที่กขค. ใช้กำกับดูแลตรวจสอบการปฏิบัตตามเงื่อนไขของกลุ่มบริษัทซีพีว่ามีอะไรบ้าง
สรุปแนวทางการตรวจสอบและติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขกขค.
- ให้กลุ่มบริษัทซีพีในตลาดค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ รายงานผลการประกอบธุรกิจตามเงื่อนไขที่กำหนดในวันที่ 1 เม.ย. 2564
- ให้รายงานผลเป็นประจำทุก 3 เดือน
- ให้กลุ่มบริษัทซีพีที่เกี่ยวข้องมีหนังสือรับรองว่าจะไม่รวมธุรกิจกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในตลาดค้าปลีกค้าส่งเป็นระยะเวลา 3 ปี
- ในกรณีที่มีการซื้อหุ้นหรือซื้อทรัพย์สินของผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายอื่น แต่การซื้อหุ้นหรือทรัพย์สินไม่เข้าหลักเกณฑ์การรวมธุรกิจจะต้องรายงานให้ กขค. ทราบภายใน 15 วัน
- ให้ซีพีออลล์และเอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น แจ้งแผนการเพิ่มสัดส่วนของยอดขายสินค้าที่มาจาก SMEs, OTOP และกลุ่มสินค้าอื่นๆ ในอัตราไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี โดยรายงานภายในไตรมาสแรกของทุกปี
- ให้กลุ่มบริษัทซีพีในตลาดค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ มีหนังสือรับรองว่าจะไม่ใช้ข้อมูลร่วมกันหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าหรือวัตถุดิบ โดยให้ถือว่าเป็นความลับทางการค้า
- ให้เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ดำเนินการคงไว้ตามเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงกับผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรือวัตถุดิบรายเดิมที่ได้มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงไว้แล้วก่อนการรวมธุรกิจเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยรายงานผลการดำเนินการทุก 3 เดือน
- ให้ซีพีออลล์และเอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น กำหนด Credit Term แก่ SMEs โดยกลุ่มสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน สินค้า OTOP ไม่เกิน 30 วัน และกลุ่มสินค้าอื่นๆ ไม่เกิน 45 วัน เป็นระยะเวลา 3 ปี
- ให้รายงานผลการให้สินเชื่อทางการค้าของ SMEs ทุกราย ในวันที่ 1 เม.ย. 2564 และให้รายงานผลการดำเนินการเป็นประจำทุก 3 เดือน
- ให้ซีพีออลล์และเอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น รายงานข้อมูลสาขาและการขยายสาขาหรือยกเลิกสาขาทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในวันที่ 1 เม.ย. 2564
- รายงานผลการขยายสาขาหรือยกเลิกสาขา รวมทั้งรายงานยอดขายสินค้าจำแนกตามหมวดสินค้าเป็นประจำทุก 6 เดือน
- ให้กลุ่มบริษัทซีพีในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ กำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติทางการค้าที่ดี (Code of Conduct) และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ในวันที่ 1 เม.ย. 2564
- ให้ถือปฏิบัติตามมาตรฐาน Code of Conduct รวมทั้งปฏิบัติตามประกาศกขค. เรื่องแนวทางการพิจารณาทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกกับผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย พ.ศ. 2562
- กลุ่มบริษัทซีพีในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่จะต้องไม่มีการกระทำที่เป็นข้อห้ามของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาดตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560
- หากพบว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับทางปกครองในอัตราไม่เกิน 0.5% ของมูลค่าธุรกรรมในการรวมธุรกิจ
- หากฝ่าฝืนข้อห้ามการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด จะมีโทษอาญาจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ
- หากพบว่ามีการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น สามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า โทร. 02 199 5444 หรือ www.otcc.or.th
- หากมีการกระทำที่เข้าข่ายความผิด จะพิจารณาดำเนินการลงโทษตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้าอย่างเด็ดขาด
*กลุ่มบริษัทซีพีในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด และบริษัท สยามแมคโคร จำกัด (มหาชน)
เห็นมาตรการคาดโทษที่ครูฝ่ายปกครอง กขค. ใช้ตรวจสอบพฤติกรรมนักเรียน กลุ่มบริษัทซีพี แล้วว่า ถ้าริจะเป็นเด็กดื้อ จะต้องเจอไม้เรียวและบทลงโทษอะไรบ้าง คราวนี้ไปตรวจสอบกันหน่อยว่า นักเรียนซีพี มีพฤติกรรมอะไร ที่แสดงให้ครูฝ่ายปกครองและสังคมเห็นว่า ตนเองเป็นเด็กดีพอ ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่จำเป็นต้องใช้บทลงโทษใด ๆ เลย
ดูเหมือนว่า วันที่ 1 เม.ย. 2564 จะเป็นวันที่นักเรียนซีพีต้องรายงานตัวต่อครูฝ่ายปกครอง กขค. เราจะไปตรวจสอบพฤติกรรมนักเรียนซีพีกันว่า ก่อนจะถึงวันรายงานตัว นักเรียนซีพีมีความกระตือรือร้นแค่ไหน ได้ทำอะไรบ้างที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเด็กดี
ซีพี ออลล์ |
- โครงการ Big Brother, โครงการ Business Accelerator - สร้างโอกาสเกษตรกรเป็นคู่ค้าธุรกิจกับซีพี ออลล์ เช่น เกษตรกรผู้ปลูก “กล้วยหอมทอง” ส่งขายร้านเซเว่นฯ ทั่วประเทศ - ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกรไทย มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปทั่วประเทศ - ช่วย SMEs ทั้ง Offline และ Online - จับคู่ทางธุรกิจกับ SMEs โครงการวันแห่งโอกาสดี@CP ALL
===================================== |
โลตัส |
- รับซื้อมะม่วงกว่า 1,000 ตันจากกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน - ตลอดทั้งปี จะเดินหน้ารับซื้อผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 10,000 ตัน จากปีที่ผ่านมา - ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ทำโครงการ “มุมสินค้า SME ไทย ถูกใจมหาชน” - จัดพื้นที่จำหน่ายสินค้า SMEs ภายในร้านของโลตัส - สนับสนุนผู้ประกอบการในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้และพัฒนาทักษะอาชีพอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้นวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวางระบบ การทำการตลาด
===================================== |
แม็คโคร |
- รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรเข้าสู่สาขาทั่วประเทศ กว่า 1.7 แสนตันต่อปี มูลค่า 5,500 ล้านบาท - ให้ความรู้และเป็นแหล่งกระจายสินค้าเอสเอ็มอีไทยสู่อาเซียน - จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าย่อยในภูมิภาคต่าง ๆ มากกว่า 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกร - ปี 2564 จะรับซื้อผักและผลไม้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 20% - มุ่งเน้นพัฒนาเกษตรกรให้ได้รับมาตรฐาน GAP เพิ่มขึ้นจาก 1,200 ราย เป็น 1,400-1,500 ราย - ส่งเสริมสภาพคล่อง ด้วยการกำหนดระยะเวลาการชำระสินค้า (Credit Term) ให้ SMEs ส่วนใหญ่ไม่เกิน 30 วัน - ส่งเสริมเอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อย ให้มีศักยภาพขยายธุรกิจสู่ตลาดในอาเซียน - โครงการแม็คโครมิตรแท้โชห่วย ช่วยเหลือร้านค้าปลีกขนาดเล็กในชุมชน - รับซื้อกุ้งจากกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ - สนับสนุนและกระจายสินค้าปลากะพง ร่วมมือกับสมาคมภัตตาคารไทยสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ จากปลากะพง - ร่วมสนับสนุนโครงการเกษตรแปลงใหญ่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
===================================== |
**รวบรวมมาจากข่าวต่าง ๆ ในส่วนที่ตรงกับเงื่อนไขของกขค. โดยเฉพาะข้อที่ให้ส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย และการขยาย Credit Term
ถ้านับเป็นก้าวแรกก็ถือว่านักเรียนซีพีมีความกระตือรือร้นดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูกันยาว ๆ ซึ่งถ้าทำได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่องและยิ่งขยายผลให้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ศักยภาพของซีพีนำสินค้าไทย ทั้งเกษตรและแปรรูปไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ที่มีห้างโลตัสอยู่ ทั้งจีนและมาเลเซีย ซึ่งพื้นฐานของผู้บริโภคในตลาดนั้น ก็ชื่นชอบผัก ผลไม้ และสินค้าไทยอยู่แล้ว ก็จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของ SMEs ชุมชน และเกษตรกรไทย ที่จะได้ก้าวกระโดดไปโกอินเตอร์กันเลย