
กระแส T-Pop กลับมาร้อนแรง! GMM Music เดินหน้าลงทุนผลิตเพลง ‘ป๊อป-ร็อก-ลูกทุ่ง’ เล็งส่ง ‘ศิลปินป๊อปไอดอล’ อีก 15-20 คนเข้าสู่วงการ
.
ธุรกิจเพลงกลับมาคึกคักอีกรอบ! ‘GMM Music’ เคลื่อนทัพลงทุนปั้นศิลปินหน้าใหม่ ผลิตเพลง ‘ป๊อป-ร็อก-ลูกทุ่ง’ ป้อนตลาด ก่อนแย้มเดบิวต์ศิลปินป๊อปไอดอลสู่ตลาดรวดเดียว 15 คน ด้านฝั่งคอนเสิร์ตปีนี้จัดเต็ม Music Festival-Indoor Concert จับฐานแฟนคลับทั่วประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปี 2566 โตกว่า 25%
.
เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ทำให้อุตสาหกรรมเพลงและคอนเสิร์ตกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะกระแสเพลง T-Pop และเพลงทั้งยุคใหม่และยุคเก่า เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น แน่นอนว่าทำให้ GMM Music มองเห็นโอกาสขยายการเติบโต และพร้อมยกระดับเพลงไทยให้ไปไกลถึงระดับโลก
.
ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา วิกฤตโควิดส่งผลกระทบต่อธุรกิจเพลงและคอนเสิร์ต จะเห็นว่าไม่ได้จัดงานและฝั่งศิลปินก็ไม่มีงาน เพราะร้านผับบาร์ปิดให้บริการ ที่สำคัญลูกค้าหรือสปอนเซอร์ลดงบโฆษณาลง ส่งผลให้กำไรลดลง แต่ยังไม่ถึงขั้นขาดทุน
.
ในช่วงนั้น GMM Music ปรับตัวหันมาให้ความสำคัญกับ Digital Business หรือเรียกว่าการเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลง เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ และในช่วงนั้นทีมงานได้เตรียมแผนงานไว้รองรับหลังโควิดคลี่คลาย และเมื่อทุกอย่างค่อยๆ ฟื้นตัว จะเห็นว่าธุรกิจ Showbiz ได้จัดงานคอนเสิร์ต ทั้งมิวสิกเฟสติวัลและงานคอนเสิร์ตศิลปินกลุ่มและศิลปินเดี่ยวทันที
.
ทำให้ในปี 2565 สามารถกลับมามีกำไร 355 ล้านบาท เติบโต 67% ด้วยรายได้รวมสูงถึง 3,043 ล้านบาท โดยมาจากกลุ่มธุรกิจที่ประกอบไปด้วย Digital Business 1,089 ล้านบาท ตามด้วยธุรกิจ Right Management Business 236 ล้านบาท, ธุรกิจ Showbiz 542 ล้านบาท และ Live Show 410 ล้านบาท
.
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอีกหนึ่งกลุ่มคือ ‘มิวสิกคอนเทนต์’ หรือการผลิตเพลงและศิลปิน ที่ผ่านมาเพลงของ GMM Music ได้สร้างการเติบโตในทุกแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยที่ผ่านมามียอดสตรีมทั้งหมด 14,000 ล้านการสตรีม มาจากการสร้างเพลงใหม่ 404 เพลง ซึ่งหากแยกประเภทของแนวเพลงที่ได้รับความนิยม เป็นเพลงร็อก 40%, เพลงลูกทุ่ง 32% และเพลงป๊อป 14%
.
แม่ทัพใหญ่ GMM Music กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ว่ามุ่งให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม Big Data ตามด้วยการใช้ Machine Learning และ AI เข้ามาสนับสนุนฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และฝ่าย Showbiz เพิ่มความแม่นยำในการกำหนดปริมาณการซื้อบัตรคอนเสิร์ตต่างๆ ได้
.
“แม้ปัจจุบันเรามีฐานข้อมูลศิลปิน แฟนคลับ และแบรนด์สินค้าจำนวนมาก ก็ยังไม่พอ ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตสู่การเป็น Entertainment Big Data ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ”
.
อีกทั้งยังเตรียมผลิตเพลงใหม่เพิ่มเป็น 500 เพลง, 32 อัลบั้ม, 160 ซิงเกิล, 5,000 เพลย์ลิสต์ต่อปี ควบคู่กับการสร้างศิลปินหน้าใหม่ทุกแนวเพลง ทั้งป๊อป ร็อก และลูกทุ่ง ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นศิลปินหน้าใหม่ๆ เริ่มตั้งแต่ Paper Planes, Three Man Down และโจอี้ ภูวศิษฐ์ ที่ใช้เวลาเพียง 2 ปี สร้างฐานแฟนคลับได้จำนวนมาก ซึ่งถ้าเทียบกับในอดีตการสร้างศิลปินให้แจ้งเกิดในตลาดได้ใช้เวลาค่อนข้างนาน
.
เรียกได้ว่าธุรกิจเพลงยังมีโอกาสเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรม T-Pop วันนี้ทั้งค่ายเล็กและใหญ่ผลิตผลงานเพลงออกมาอยู่เป็นระยะๆ แต่หากจะสร้าง T-Pop ให้เกิดได้และไปไกลระดับโลก จะต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกมาก
.
“เราได้ให้ความสำคัญมาตลอด ที่ผ่านมาบริษัทยังใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท สร้างเครือข่าย Recruitment เฟ้นหาเด็กรุ่นใหม่เข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัด ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ และเร็วๆ นี้เตรียมเดบิวต์ศิลปินป๊อปไอดอลออกสู่ตลาดมากกว่า 15-20 คน คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”
.
เช่นเดียวกับธุรกิจ Showbiz ในปี 2566 เตรียมจัดงานคอนเสิร์ตไปในพื้นที่ภูมิภาคทั่วไทย ทั้งในรูปแบบ Music Festival และ Indoor Concert เช่น เชียงใหญ่เฟส จับฐานแฟนคลับภาคเหนือ, บิ๊กเมาน์เท่น มิวสิค เฟสติวัล จับฐานแฟนคลับภาคกลาง, พุ่งใต้เฟส จับฐานแฟนคลับภาคใต้ และเฉียงเหนือเฟส จับฐานแฟนคลับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกงานสเกลระดับหมื่นคน โดยประเมินว่าการจัดงานทั่วประเทศจะทำให้มีผู้ซื้อบัตรไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน
.
พร้อมยังเตรียมจัดงานคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่ๆ เช่น งานสงกรานต์ ฮาโลวีน และงาน LGBTQIA+ ที่สำคัญยังได้เริ่มทดลองเป็นโปรโมเตอร์จัดงานคอนเสิร์ตและแฟนมีตศิลปินประเทศเกาหลี และจากนี้คาดว่าอย่างน้อยต้องมี 4 งานต่อปี เพื่อรองรับโอกาสใหม่ๆในอนาคต
.
ภาวิตยังกล่าวถึงราคาบัตรคอนเสิร์ตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนเสิร์ตจากศิลปินต่างประเทศ แต่วันนี้ฐานคนดูในไทยส่วนใหญ่ 50% จะเลือกซื้อบัตรคอนเสิร์ตเฟสติวัลที่ราคาเข้าถึงง่าย แต่ในทางกลับกันการใช้จ่ายในงานค่อนข้างสูง ซึ่งเชื่อว่าก็จะมีทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อและยังกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
.
ทั้งนี้ในปี 2566 GMM Music ตั้งเป้าสร้างรายได้ 3,800 ล้านบาท เติบโต 25% และอนาคตธุรกิจ Digital และ Showbiz จะเป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุด และต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
.
“แม้วันนี้ GMM Grammy จะอยู่ในตลาดมากว่า 40 ปี จนปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์เพลงฮิตอันดับ 1 อยู่ 40% ขณะที่คู่แข่งอยู่ที่ 4-8% ซึ่งต้องบอกว่าหมดยุคที่ค่ายเพลงต้องมาแข่งขันกันเองแล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างศิลปินหน้าใหม่ๆ และต้องไม่ทิ้งศิลปินเก่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโตไปถึงระดับโลกได้” ภาวิตกล่าว