สำหรับผู้ที่ติดตามสินทรัพย์ดิจิทัลมาสักระยะหนึ่ง คงจะเคยได้ยินการเปรียบเทียบของสินทรัพย์ 2 ชนิด นั่นก็คือ Gold และ Bitcoin มาบ้างไม่มากก็น้อยแต่โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเห็นบทความต่าง ๆ นำเรื่องของปัจจัยพื้นฐานหรือ Fundamental Factors มาเปรียบเทียบกันมากกว่า ว่าแต่ละสินทรัพย์ไม่ว่าจะ Gold หรือ Bitcoin มีปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างไร โอกาสของอุปสงค์ อุปทานในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ในบทความนี้เราอยากจะนำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปเพื่อให้นักลงทุนที่มีความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมีไอเดียและกลยุทธ์ในการลงทุนที่ดีขึ้นรวมถึงมีความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาเพื่อที่จะสามารถรับมือและเตรียมใจกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ครับ
มุมมองที่เราอยากจะนำเสนอในบทความนี้คือเรื่องของ Price & Return ของทั้ง 2 สินทรัพย์นั่นเอง พวกเราทราบไหมครับว่า หากเรามีเงินลงทุนหนึ่งก้อนแล้วเลือกลงทุนในสินทรัพย์ 2 ชนิดที่แตกต่างกัน คือ Gold และ Bitcoin ผลลัพธ์ของการลงทุนจะเป็นเช่นไร
สมมุติว่าเรากับเพื่อนสนิทของเรามีเงินลงทุนคนละ 1,000,000 บาท และมีความสนใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน เราต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนเพื่อนของเราเชื่อมั่นในการถือครองทองคำที่ได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในโลกการเงินการลงทุน เรากับเพื่อนจึงตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่เราเชื่อมั่นแล้วค่อยมาวัดผลลัพธ์ของการลงทุนกันว่าใครกันแน่ที่จะเป็นผู้ชนะ โดยมีสมมุติฐานดังนี้ครับ
- เงินลงทุนเริ่มต้น 1,000,000 บาท
- ช่วงเวลาที่เริ่มต้นลงทุนคือ มกราคม 2019 – เมษายน 2020
- ใช้กลยุทธ์ Buy and Hold หรือซื้อแล้วถือยาว ไม่มีซื้อเพิ่มหรือขายออกระหว่างทาง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นได้ตามรูปภาพนี้ครับ
เส้นสีฟ้าคือผลลัพธ์ของ Portfolio เราสำหรับกลยุทธ์ Buy and Hold ใน Bitcoin เส้นสีแดงคือผลลัพธ์ของ Portfolio เพื่อนเราสำหรับกลยุทธ์ Buy and Hold ใน Gold ครับ
เมื่อนำเงินลงทุน ซื้อและถือทองคำตั้งแต่เดือนมกราคม 2019 ไปจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 1 ปีกับ 4 เดือนโดยประมาณ เงิน 1,000,000 บาท จะกลายเป็น 1,330,000 บาท ถือเป็นผลตอบแทนทั้งสิ้นประมาณ 33 % โดยที่ในระหว่างทางที่ถือทองคำอยู่นั้น มีบางช่วงเวลาที่เงินลงทุนติดลบไป 1.5 % หรือลดลงไปแค่ 15,000 บาท แต่หากนับจากจุดสูงสุดที่ Portfolio ของเราเคยวิ่งไปถึงแล้วปรับตัวลดลงมาจนถึงปัจจุบัน หรือ Drawdown นั้นจะเท่ากับ – 2 % พูดง่าย ๆ ก็คือหากเราเปิดดู Portfolio ในช่วงเดือนกลางเดือนเมษายน 2020 เราจะมีเงินในพอร์ตถึง 1,350,000 บาท
ในกรณีของการซื้อและถือ Bitcoin ตั้งแต่เดือนมกราคม 2019 ไปจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 1 ปีกับ 4 เดือนเช่นกัน เงิน 1,000,000 บาท จะกลายเป็น 2,080,000 ถือเป็นผลตอบแทน 108 % โดยที่ในระหว่างทางที่ถือ Bitcoin อยู่นั้น มีบางช่วงเวลาที่เงินลงทุนติดลบไป 9.5 % หรือกว่า 95,000 บาท แต่หากนับจากจุดสูงสุดที่ Portfolio ของเราเคยวิ่งไปถึงแล้วปรับตัวลดลงมาจนถึงปัจจุบัน หรือ Drawdown นั้นจะเท่ากับ -40 % คือหากเราเปิดดู Portfolio ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2019 เราจะมีเงินในพอร์ตถึง 3,500,000 บาท !!
พวกเราเห็นถึงความแตกต่างใน Price Movement ของ Gold กับ Bitcoin หรือไม่ครับ หากมองแค่ผิวเผินด้วยเงินลงทุนก้อนเดียวกันหากเลือกกลยุทธ์ Buy and Hold ใน Bitcoin ผลลัพธ์ที่ได้จะดีมากกว่าการลงทุนในทองคำอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่อยากจะชี้ชัดก็คือ ความผันผวนหรือ Volatility ของ Bitcoin นั้นสูงกว่า Gold อย่างเห็นได้ชัด สำหรับประเด็นของปัจจัยพื้นฐานหรือ Fundamental Factors ของทุกสินทรัพย์ที่เราเลือกลงทุนนั้นควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เพราะปัจจัยพื้นฐานของมันคือตัวที่ขับเคลื่อนราคาในอนาคตว่าควรไปต่อหรือไม่และไปไกลแค่ไหน แต่ทักษะที่อยากให้นักลงทุนทุกคนศึกษาเพิ่มเติมก็คือเรื่อง Technical Analysis เพื่อดูจังหวะเวลาในการเข้าซื้อ ถือครอง หรือขายทำกำไรออกมาเมื่อแนวโน้มของราคาเริ่มอ่อนตัวลง ซึ่งมันจะทำให้ Portfolio ของเราไม่ต้องทนรับกับความผันผวนในระหว่างทางที่อาจจะต้องเจอ ลองคิดตามดูนะครับ ถ้าเป็นตัวเราเองเราจะทนรับการเหวี่ยงของเงินลงทุนได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์ของผมที่คลุกคลีกับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก คือพวกเรามักจะสติแตกและล้มเลิกแผนการทุกอย่างที่วางไว้ สุดท้ายก็ต้องรับกับความเสียหายที่เกิดขึ้นและเดินออกจากตลาดไป
ฉะนั้นจึงอยากเชิญชวนทุกคนให้หันมาสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องของ “จังหวะเวลา” ในการลงทุน ซึ่งมันจะทำให้เราสามารถควบคุมความเสี่ยงของ Portfolio ไม่ให้ขาดทุนเกินที่เราออกแบบไว้เพราะเราคงควบคุมความผันผวนของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดไม่ได้หรอกครับแต่สิ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือการควบคุมสติ ควบคุมความเสี่ยง และควบคุมตัวเองให้ปฏิบัติตามแผนการที่วางเอาไว้ตลอดการลงทุนครับ