PTTเดินหน้าธุรกิจใหม่ เร่งปิดดีลโรงงานยา-ไฟฟ้าหมุนเวียนต่างประเทศ
PTTเปิดแอคชั่นแพลนธุรกิจใหม่ สร้างการเติบโตยั่งยืน เร่งปิดดีลซื้อ”โรงงานยา-โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน”ในต่างประเทศ เตรียมเปิดโรงงานแบตเตอรี่ เดินหน้าตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า เล็งยื่นขอบีโอไอตั้งโรงงานผลิตรถอีวี มั่นใจรายได้ปีหน้าฟื้น จากราคาน้ำมันดีขึ้น
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงแผนดำเนินงาน ปตท. ในปี 2564 ว่า หากราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในกรอบ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือมีทิศทางที่สูงกว่าราคาเฉลี่ยในปีนี้ ที่ระดับ 41-42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และยอดขายฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ หากไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการคว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดน ที่คาดว่าจะส่งผลดีต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก ก็น่าจะเป็นทิศทางที่ส่งผลดีต่อรายได้ของปตท.ในปีหน้า
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของ ปตท. ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปีนี้ ยอดขายเริ่มดีขึ้น หลังโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันภาคพื้นทั้งเบนซินและดีเซล เริ่มกลับมาปกติ
นายอรรถพล กล่าวว่า กลุ่มปตท. ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น 8,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 จากปัจจุบัน 5,000 เมกะวัตต์ ซึ่งอีก 3,000 เมกะวัตต์ที่เหลือส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในต่างประเทศ และเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 8,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 500 เมกะวัตต์ ที่ล่าสุดมีการเจรจาร่วมทุนหรือเข้าซื้อกิจการ โครงการในต่างประเทศ 2-3 ดีล คาดว่า จะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1 ปี 2564
“เป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียนไม่ได้เจาะจงแค่ ปตท.และจีพีเอสซี แต่เป็นศักยภาพของทั้งกลุ่มปตท. เพียงแต่จีพีเอสซียังเป็นแกนนำหลัก”
นายอรรถพล กล่าวว่า การที่นายโจ ไบเดน คว้าชัยชนะการเลือกตั้ง จะทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง ส่วนของสถานการณ์พลังงานยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา เนื่องจากนายโจ ไบเดน มีนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนมากกว่าส่งเสริมพลังงานฟอสซิล ซึ่งอาจส่งผลให้การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากสหรัฐออกมาน้อยลง และส่งผลดีต่อทิศทางราคาปรับเข้าสู่สมดุลมากขึ้น
ด้านนางอรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร ปตท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างหาผู้รับเหมาก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่(แห่งที่ 7) ในประเทศ เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซฯ แห่งที่ 1 ที่ใช้งานมานานกว่า 30 ปีแล้ว คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เริ่มการก่อสร้างในปี 2564 และแล้วเสร็จในปี 2566
นอกจากนี้ยังเตรียมรุกเข้าสู่การลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างการเติบโต เช่น การหาโอกาสเข้าลงทุนในธุรกิจ Life Science ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการ (M&A) โรงงานผลิตยาในต่างประเทศ รวมถึงขยายการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจพลังงานใหม่ เช่น Storage Grid Network ,Smart Energy Platform และ EV Charging Station เป็นต้น อีกทั้งเรื่องของเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ที่มุ่งเรื่องของพลังงานสะอาด เช่น ไฟฟ้า ทำให้ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) น่าสนใจ และปัจจุบันรัฐบาลก็ให้การส่งเสริมการลงทุนรถ EV มากขึ้น
โดยกลุ่มปตท.อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ต้นแบบ เพื่อทำ Value chain จึงมองโอกาสต่อยอดสู่การจัดตั้งโรงงานผลิตรถอีวีในอนาคตด้วย ซึ่งจะต้องศึกษาการลงทุนอย่างรอบคอบ เพราะมีหลายปัจจัย ทั้งนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ความต้องการของตลาดในอนาคต
ในปี 2564 ปตท.ตั้งเป้าใช้งบลงทุนมากกว่าระดับปกติ ที่มีการลงทุนแต่ละปี 8 หมื่นล้านบาท หลังมีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่และธุรกิจพลังงานใหม่เพิ่มขึ้น แต่จะเป็นระดับเท่าไหร่นั้น ยังต้องรอการพิจารณาจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทปตท.ในเดือนธ.ค.นี้ อนุมัติก่อน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมุลจาก