@พนักงานค้านแหลก
หลังจากที่บอร์ด กทพ. มีมติเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2561 อนุมัติแนวทางขยายสัมปทานทางด่วนให้ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ออกไปอีก 37 ปี เพื่อยุติข้อพิพาททั้งหมด โดยมีพนักงาน กทพ.ที่แต่งชุดดำเข้าร่วมฟังข้อชี้แจงหลาย 100 คน และบรรยากาศมีการแสดงความคิดเห็นหลากหลายประเด็น เช่น ขอดำเนินการเอง เดินหน้าสู่คดีข้อพิพาท เพื่อเป็นข้อมูลรวบรวมให้ฝ่ายบริหารนำไปประกอบการพิจารณา ก่อนที่จะมีการนำเสนอมติบอร์ดไปยังคณะกรรมการกำกับตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ2556 พิจารณาต่อไป
@สหภาพบีบเลื่อนเสนอบอร์ด PPP
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการประชุม ได้ข้อยุติว่าทางนายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพ กทพ.จะร่วมเดินทางไปกับนายสุชาติ ผู้ว่าการ กทพ. เพื่อขอเลื่อนการส่งข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามที่บอร์ดมีมติให้คณะกรรมการกำกับออกไปเป็นหลังปีใหม่ จากเดิมจะรายงานให้คณะกรรมการกำกับรับทราบวันที่ 26 ธ.ค.2561
โดยผู้ว่าการ กทพ. กล่าวว่า การเลื่อนรายงานผลมติบอร์ดต่อคณะกรรมการกำกับ เพื่อนำข้อคิดเห็นของพนักงานที่มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องสถานะทางบัญชี ความเสี่ยง และการที่ กทพ.ดำเนินการเองนำมาพิจารณาร่วมด้วยเพื่อให้ข้อมูลครบด้าน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จโดยเร็วภายในเดือน ม.ค.2562 เนื่องจาก กทพ.มีภาระเรื่องอัตราดอกเบี้ยจากค่าชดเชยที่ กทพ.จะต้องจ่ายให้ NECL ทุกเดือน
นอกจากนี้ การดำเนินการพิจารณาอนุม้ติแนวทางแก้ไขปัญหาตามที่บอร์ดอนุมัตินั้น ยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ทั้งกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการ PPP อัยการสูงสูด และคณะรัฐมนตรี
@บอร์ดแจงทำไมต้องขยายสัญญา
ทั้งนี้ในระหว่างการประชุมนั้นทางนายสุรงค์ได้ชี้แจงว่า บอร์ดดำเนินการตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2561 หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดให้ กทพ.ชำระค่าเสียหายให้กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) ผู้รับสัมทานทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BEM ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างทางแข่งขันเป็นวงเงินรวมดอกเบี้ย 4,300 ล้านบาท
โดย ครม.เห็นว่าเพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก้รัฐและเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการ กรณีมีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เป็นคดีเดียวหรือหลายคดีในประเด็นเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกัน มีมติให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้
@เซตซีโร่สัมปทาน 2 ทางด่วน
ซึ่งที่ผ่านมาบอร์ดตั้งอนุกรรมการเจรจากับ BEM จนได้ข้อสรุปที่คิดว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อนำเสนอให้กระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการ PPP พิจารณาต่อไป โดยจะขยายอายุสัญญาที่ BEM รับสัมปทานทุกโครงข่ายทั้งทางด่วนขั้นที่ 2 รวมส่วน D ช่วงพระราม 9-ศรีนครินทร์ และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด จะสิ้นสุดสัญญาวันที่ 1 พ.ย.2569 ออกไปเป็นระยะเวลา 37 ปี รวมงานก่อร้าง 4 ปี ให้สิ้นสุดสัญญาพร้อมกันในปี 2600 เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ปรับค่าผ่านทางทุก 10 ปี ในอัตรา 10 บาท และแบ่งรายได้ให้ กทพ.สัดส่วน 60% ตลอดอายุสัญญาสัมปทาน เพื่อลดภาระหนี้ข้อพิพาทที่มีต่อกันคิดเป็นมูลค่า 137,515.6 ล้านบาท
“ที่ต้องรีบดำเนินการเพราะครบกำหนดที่ศาลให้ชำระเงิน 4,300 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา บอร์ดแค่เสนอแนวทางที่ดีที่สุดไปให้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าหนี้เราเท่ากับศูนย์ กทพ.ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม และพนักงานไม่มีผลกระทบ ผมก็ทำเหมือนกับคนก่อนๆที่ผ่านมา ผลการเจรจาตกผลึกในเบื้องต้นแบบนี้ ขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายและคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาจะเห็นด้วยตามแนวทางที่เราเสนอหรือไม่”
นายสุทธิศักดิ์กล่าวว่า สรุปมูลค่าข้อพิพาททุกสัญญาระหว่าง กทพ. กับ BEM รวมมูลค่าทั้งสิ้น 137,515.6 ล้านบาท แยกเป็น ข้อพิพาทที่ได้ตัดสินแล้ว 4,318.4 ล้านบาท ข้อพิพาทที่ยื่นแล้ว 61,481.6 ล้านบาท ข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่อง 75,473.2 ล้านบาท และมีข้อพิพาทที่ กทพ.ยื่นฟ้องแล้ว 3,757.6 ล้านบาท ซึ่งการประมูลมูลค่าหนี้เกิดจากข้อพิพาท
“วงเงิน 137,515 ล้านบาท เป็นการศึกษาจากข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จึงประเมินแนวโน้มว่าข้อพิพาทที่อยู่ระหว่างการพิจารณาไม่ว่าจะทางแข่งขัน การปรับค่าผ่านทาง กว่า 10 คดี ผลที่ออกมาอาจจะเป็นทางลบมากกว่า”
@เอกชนลงทุนเพิ่มกว่า 3 หมื่นล้าน
นายสุชาติกล่าวว่า ในเงื่อนไขทาง BEM จะต้องลงทุนปรับปรุงทางด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร โดย่ก่อสร้างทางยกระดับชั้นที่ 2 หรือทางด่วน 2 ชั้น ช่วงงามวงศ์วาน-อโศก มูลค่า 13,500 ล้านบาท พร้อมกับลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพแก้รถติด 4 จุด เช่น ลดกระแสการจราจรบริเวณนิคมมักกะสัน เพิ่มผิวการจราจรด้านข้างมักกะสัน-สุขุมวิท
@สหภาพประกาศจุดยื่น
ด้านนายชาญชัย ประธานสหภาพ กทพ.กล่าวว่า สหภาพขอประกาศจุดยืน คือ 1.ข้อพิพาท NECL กทพ.จะหาทางเจรจาชำระค่าชดเชยตามจำนวนที่เหมาะสมต่อไป 2.การขยายสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 จะครบกำหนดในปี 2563 ไม่ควรขยายสัญญาสัมปทานให้กับเอกชนรายเดิม เห็นว่า กทพ.ควรนำมาบริหารเอง หลังหมดสัญญารวมทั้งทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด
3.ข้อพิพาทที่ BEM ฟ้องเรียกค่าชดเชยให้นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลทั้งหมด เนื่องจากวงเงินสูงมาก 4.ให้ยกเลิกมติบอร์ดวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา และ 5.ยกเลิกการนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการ PPP
@เปิดสถานะการเงิน กทพ.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน กทพ.มีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 แสนล้านบาท มีรายได้เฉลี่ย 17,000 ล้านบาทต่อปี และมีกำไรอยู่ที่ปีละ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้จากผลการศึกษาหากมีการอนุมัติให้ขยายสัมปทานทางด่วนออกไปอีก 37 ปีตามที่บอร์ดมีมติไว้ จะทำให้ กทพ.มีรายได้จากส่วนแบ่งค่าผ่านทางสัดส่วน 60% ตลอดอายุสัญญารวมประมาณ 300,000 ล้านบาท
https://www.prachachat.net/property/news-270128