เงินในระบบมีมากมาย… แต่เงินในมือเราหายไปไหน?
หากมองเผินๆ เราอาจเห็นว่าเศรษฐกิจไทยกำลัง “ฟื้นตัว”
GDP กลับมาโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022 และดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดี
แต่ในอีกมุมหนึ่งของความจริง… มีอะไรบางอย่างที่กำลังสะท้อนว่า “เศรษฐกิจฝืดเคือง"

เมื่อเราดูบัญชีเงินฝากขนาดเล็ก—ซึ่งมีอยู่มากถึงกว่า 90% ของบัญชีออมทรัพย์ในไทยทั้งหมด—เราก็จะพบว่า:
- ปี 2017: บัญชีออมทรัพย์ที่มีเงินไม่เกิน 50,000 บาท มีเงินเฉลี่ย 4,573 บาท/บัญชี
- ปี 2024: เหลือ 3,781 บาท
- ปี 2025: เหลือเพียง 3,776 บาท
เงินในบัญชีของคนส่วนใหญ่ในประเทศ “หายไปจริงๆ”
ไม่ใช่แค่ความรู้สึก—แต่มันสะท้อนผ่านข้อมูลที่เป็นรูปธรรม
และถ้าเรามาดูการโอนเงินในชีวิตประจำวัน
"พร้อมเพย์” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่บอกเล่าเรื่องราวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พร้อมเพย์ หรือระบบโอนเงินแบบเรียลไทม์ ที่เปิดตัวในปี 2559
ช่วยให้คนไทยโอนเงินได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และถูกลง ผ่านมือถือหรือเลขบัตรประชาชน
กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในรอบทศวรรษ
และสิ่งที่น่าสนใจคือ “จำนวนเงินที่ถูกโอน”
จากข้อมูลล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย:
ในปี 2017 คนไทยโอนเงินผ่านพร้อมเพย์เฉลี่ย 4,281 บาทต่อครั้ง
แต่ในปี 2025 (เฉลี่ย 4 เดือนแรก) ตัวเลขนั้นลดลงเหลือเพียง 2,090 บาท/ครั้ง
= หายไป “กว่าครึ่ง” ภายใน 8 ปี
การโอนเงินยังคงมีอยู่... แต่จำนวนเงินที่โอน “น้อยลงเรื่อยๆ”
และเมื่อเราไปดู “อัตราการหมุนเวียนของเงิน” (Velocity of Money)
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ามีการใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจเร็วเพียงใด โดยคำนวณจาก Velocity = GDP ÷ Money Supply
ถ้าค่า Velocity สูง = เงินถูกใช้จ่ายบ่อย เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ถ้าค่า Velocity ต่ำ = คนออมเงินมากกว่าจับจ่าย ใช้หนี้มากกว่าลงทุน
แม้ว่าปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ในความเป็นจริง… เงินไม่ได้หมุนต่อ
ระหว่างปี 2016-2020 ค่า Velocity of Money ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.8 เท่า และลดลงเหลือเพียง 0.7 เท่าระหว่างปี 2021-2025 ซึ่งถือเป็นระดับที่ “ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด” และไม่ฟื้นตัว แม้ GDP จะกลับมาเติบโต
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ “เงินไม่หมุน” และไม่เกิดการจับจ่ายใช้สอยในระบบ ได้แก่:
1. ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับสูง
คนจำนวนมากนำรายได้ไปใช้ชำระหนี้แทนการบริโภค
2. เศรษฐกิจชะลอตัวและความไม่แน่นอน
ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย
3. รายได้แท้จริงไม่เติบโตทันเงินเฟ้อ
คนมีเงิน แต่ใช้จ่ายน้อยลง
บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องของ “ความเชื่อมั่นผู้บริโภค”
แต่ตัวเลขเหล่านี้กำลังบอกเราว่า “มันไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่นที่หายไป”
แต่มันคือความจริงที่ว่า “สภาพคล่องในกระเป๋า” ลดลงอย่างต่อเนื่อง
คนไม่ได้ใช้จ่ายน้อยลงเพราะไม่อยากใช้
แต่เพราะไม่มีเหลือพอที่จะใช้
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “จะใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร?”
แต่คือ “จะทำให้เงินกลับมาหมุนเวียนในมือของคนตัวเล็กๆ ได้อย่างไร?”
และ “จะปลดล็อกเศรษฐกิจจากความฝืดเคืองได้ด้วยวิธีไหน?”
เพราะเศรษฐกิจจะไม่มีวันฟื้นจริง ถ้ากระเป๋าเรา... ยังว่างเปล่า
.
เรื่องและภาพ: พรปวีณ์ ธรรมวิชัย Economist, Bnomics
════════════════
ที่มา. Bnomics by Bangkok Bank