ยังมองบวก “หุ้นเทคฯ” แนะมีกำไรให้หาโอกาสขายบ้าง...
ขยับสู่โหมด “Defensive” มากขึ้น-เตรียมรับมือศก.ถดถอยสหรัฐ !!!
.
Fun of Funds: แม้ล่าสุดทาง “ธนาคารกลางสหรัฐ” (Fed) จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว แต่ก็ส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง จากระดับปัจจุบันที่ 5.00-5.25%
.
เป็นการ “หยุดชั่วคราว” ยังไม่ใช่ “การหยุดจริง” แต่ยังไง “จุดจบดอกเบี้ยขาขึ้น” ก็จะยุติลงในปีนี้ค่อนข้างแน่
.
ดัชนี Nasdaq100 ตัวแทน “หุ้นเทคโนโลยี” ปีนี้ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน +38.86% ส่วน “หุ้นสหรัฐ” (S&P500) ก็บวกไป +15.31% ตรงข้ามกับ “หุ้นไทย” ที่ยังติดลบอยู่ -6.55%
.
ธีม “หุ้นเทคฯ” ยังเป็นธีมการลงทุนที่ดูสดใสในวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นที่กำลังจะสิ้นสุดลงในอนาคตอันใกล้นี้และยังคงต่อเนื่องไปได้ในช่วงดอกเบี้ยขาลงด้วยเช่นกัน
.
ส่วน “หุ้นไทย” กำไรบจ.ที่ถูกหั่นประมาณการลงนั้นก็น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเช่นกัน มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง มีลุ้น 1,660 จุด อัพไซด์ยังมีประมาณ 7% จากระดับปัจจุบัน
.
อะไรที่ทำให้ธีม “หุ้นเทคฯ” และ “หุ้นไทย” ยังคงน่าสนใจ ตามทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthythai’ ไปอัพเดทจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนพร้อมๆ กันได้เลย
.
“หุ้นเทคฯ” ยังไปได้รับ “จุดจบดอกเบี้ยขาขึ้น”...ช่วงแรกรอบ “เทคฯ ใหญ่”
.
“หุ้นเทคฯ” หนึ่งใน Megatrend ของโลกการลงทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก จนแตกไลน์ออกเป็น Sub Theme เป็นเทคฯ ย่อยอีกมากมายให้เลือกลงทุนกัน เช่น Fintech, Healthtech, Edutech, Semiconductor เป็นต้น ซึ่งต่างก็กอดคอกันร่วงในช่วงมรสุมดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ปีนี้กลับปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น มากน้อยแตกต่างกันออกไป
.
โดย “สุพงศ์วร เมี้ยนโภคา” ผู้บริหารสายงานจัดการกองทุน บลจ.ทิสโก้ ยอมรับว่า ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นที่ผ่านมา ต้นทุนทางการเงินของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ปรับตัวขึ้นอย่างมาก จากระดับ 0.25% ขึ้นมาสู่ระดับ 4-5% ก็กระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ขนาดกลางและเล็กในการปรับตัว ปีก่อนหุ้นเทคฯ ร่วงกัน -30% ปีนี้กลับมาบวก 23-24%พลันเมื่อตลาดคาดว่าวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นจะสิ้นสุดลงในปีนี้และระดับปัจจุบันก็ใกล้จุดสูงสุดแล้ว โอกาสที่จะได้รับผลกระทบเช่นในอดีตก็ลดลง จะเห้นบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ (Big Tech) ปีนี้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น เพราะมีฐานะการเงินที่เข้มแข็งและปรับตัวได้ดีกว่าบริษัทเทคฯ ขนาดกลาง-เล็ก ก็จะเป็นกลุ่มแรกที่ปรับตัวขึ้นมาก่อน มองไปในช่วงครึ่งปีหลัง “หุ้นเทคฯ สหรัฐ” ยังคงน่าสนใจลงทุนเช่นกัน
.
“ขณะที่ ‘หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐ’ ยังคงมีความน่าสนใจจากความแข็งแกร่งของบริษัทและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับ AI ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่จะเป็นกลุ่มแรกที่ปรับตัวขึ้นดีในช่วงที่ดอกเบี้ยสิ้นสุดวงจรขาขึ้นและมองต่อไปเมื่อดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลงกลุ่ม ‘หุ้นเทคฯ ขนาดกลาดและเล็ก’ ก็จะปรับตัวขึ้นตามมา”
.
คาด Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยจริง “หุ้นสหรัฐ” จะไปได้ไม่ไกล...แต่ “เปลี่ยนกลุ่มเล่น”-เน้น Defensive รับ Recession
.
อย่างไรก็ดี จากสถิติในอดีต เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย “หุ้นสหรัฐ” (S&P500) จะปรับตัวขึ้นหลังจากนั้นได้ แต่ครั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐมีการปรับตัวขึ้นมาแล้วก่อนหน้าจนใกล้เคียงกับระดับที่เคยปรับขึ้นหลังหยุดดอกเบี้ย ดังนั้นคาดว่าเมื่อ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยจริงๆ ตลาดอาจจะไปได้ไม่ไกลแล้ว แต่ก็ยังลงทุนได้แต่จะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนกลุ่มเล่น (Rotation) ไปกลุ่มอื่นแทน อาจจะโยกจากหุ้นเทคฯ ที่ขึ้นมามากแล้วไปหุ้น Defensive ที่เป็น Healthcare หรือ Quality Growth แทน เพราะสหรัฐเองก็มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้ในช่วงไตรมาสที่4 หรือต้นปีหน้า กลยุทธ์อาจจะเน้น Defensive มากขึ้น ใครที่มีกำไรจากหุ้นเทคฯ แล้วก็อาจหาจังหวะในการขายทำกำไรได้เช่นกัน
.
“หุ้นไทย” กำไรบจ.ผ่าน “จุดต่ำสุดแล้ว”...มองเป้าสิ้นปี 1,660 จุด อัพไซด์ 7%
.
ในขณะที่ “หุ้นไทย” นั้น “ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ” ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังคงมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น “slightly positive” โดยคาดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงเสถียรภาพทางการเมือง ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน หากวิเคราะห์จากเหตุการณ์ปกติที่ควรจะเป็น (Base case scenario) การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย ภายในกลางเดือนก.ค. 23 และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี24 มีโอกาสล่าช้าแต่อยู่ในระดับที่จัดการได้ คาดว่า SET Index ณ สิ้นปี23 จะอยู่ที่ประมาณ 1,660 จุด เพิ่มขึ้น 7% จากระดับปัจจุบันที่ 1,550 จุด
.
“ส่วนในกรณีเลวร้าย (worse case scenario) หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า จนกระทบต่อการจัดทำและเบิกจ่ายงบประมาณปี24 และมีความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายยืดเยื้อ SET index อาจมีความเสี่ยงปรับลดลง 8% จากระดับปัจจุบันได้เช่นกัน”
.
แม้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมาจากภาครัฐยังไม่ชัดเจน แต่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากภาคบริการและบริโภคภาคเอกชน โดย SCB CIO ประเมินเศรษฐกิจไทยได้อานิสงส์จากการขยายตัวของ
.
ภาคบริการ โดยเฉพาะในสาขาที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว รวมทั้งการผลิตในภาคเกษตรและการบริโภคเอกชน ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายมีแนวโน้มทำให้เกิดการชะลอการลงทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำให้การฟื้นตัวของภาคส่งออกไทยช้ากว่าคาดการณ์ไว้
.
“ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยออกจากภาวะ ‘earning recession’ หรือ ‘ภาวะที่กำไรถดถอย’ แล้ว หลังกำไรหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาสในช่วงครึ่งหลังปี22 ส่วนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส1/23 ฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก และส่งสัญญาณมีแนวโน้มสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของปี23 ตาม เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเปิดเมืองเปิดประเทศ”
.
“หุ้นเทคฯ” ยังลงทุนได้รับ “จุดจบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น” ที่ใกล้จะมาถึง พร้อมแนะขยับสู่โหมด “Defensive” มากขึ้น โฟกัสในกลุ่ม Healthcare, Quality Growth เตรียมรับมือ “เศรษฐกิจถดถอย” ที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่4 ถึงต้นปีหน้า ส่วน “หุ้นไทย” ต้องลุ้นการตั้งรัฐบาลใหม่ว่าจะมาตามนัดหรือไม่ แม้พื้นฐานบจ.จะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม
