ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถอดพื้นฐานธุรกิจ STA-STGT

โดย ฮ นกฮูก
เผยแพร่ :
221 views

ถอดพื้นฐานธุรกิจ STA-STGT

เมื่อธุรกิจถุงมือยางกลายเป็นแรงกดดันกำไร

.

 

จากอดีตที่เคยสวยงาม ทั้งในแง่ของผลประกอบการและราคาหุ้นของทั้งบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA และบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เพราะในช่วงที่ผ่านมา มีกระแสนิยมจากนักลงทุนอย่างมาก หลังจากได้รับแรงหนุนจากธุรกิจถุงมือยาง เนื่องจากในช่วงการระบาดของ Covid-19 ทำให้ความต้องการปรับตัวเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้ราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น

.

แต่เมื่อเวลาผ่านไป การระบาดของ Covid-19 ได้คลี่คลายลง ทำให้ความต้องการถุงมือยางปรับตัวลดลงตามไปด้วย และทำให้ราคาขายของถุงมือยางกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เห็นได้จากล่าสุดไตรมาส 3/65 กำไรของทั้ง 2 บริษัท ที่รายงานออกมาปรับตัวลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

.

โดยในไตรมาส 3/65 ทาง STA มีกำไรสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันถึง 64.2% มาอยู่ที่ 1,155.90 ล้านบาท แม้เนื้อในธุรกิจยางธรรมยังเติบโต เพราะราคาขายเฉลี่ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจถุงมือยางสัดส่วนรายได้ราว 16.7% ของรายได้จากการขายและบริการ ก็ยังปรับลดลง เนื่องจาก ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางที่ปรับลดลง โดย STGT รายงานกำไรสุทธิเพียง 21.80 ล้านบาท ลดลงสูง 99.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

.

ดังนั้นทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ก่อนหน้า และฝั่งที่สนใจเข้าลงทุน ต่างสงสัย หรือมีคำถามขึ้นว่าควรจะทำอย่างไรกับทั้ง 2 บริษัทนี้ และแนวโน้มจะยังน่าสนใจอยู่หรือไม่ ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์มาฝากนักลงทุนแล้ว

.

โดย STA บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้มุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรธุรกิจยางธรรมชาติที่จะเติบโตต่อ และคาดจะทำระดับสูงสุดของปีได้ในไตรมาส 4/65 แม้ราคาขายเฉลี่ยคาดปรับลดลง แต่จะชดเชยได้ด้วยปริมาณขายที่คาดเติบโตต่อและต้นทุนน้ำยางและยางก้อนถ้วยที่ปรับลดลงเช่นกันหนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้ยังทรงตัวได้

.

อย่างไรก็ตามคาดแนวโน้มกำไรของ STA ยังโดนกดดันจากธุรกิจถุงมือยางที่ยังอ่อนแอจากการแข่งขันที่สูงและความต้องการที่ลดลง ทำให้ราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางยังมีโอกาสลดลงได้ต่อ จึงทำให้ประเมินแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/65 ของ STA เบื้องต้นในกรอบ 800 – 900 ล้านบาท

ทั้งนี้อยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการกำไรปี 2565 – 2566 เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจถุงมือยางที่อ่อนแอมากกว่าคาด เบื้องต้นคาดกำไรปี 2565 มีโอกาสลงอีกราว 8-10% จากประมาณการเดิมที่ 4,439 ล้านบาท เชิงพื้นฐานยังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” แต่เชิงกลยุทธ์แนะนำให้ชะลอการลงทุนและมอง TEGH, NER เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับกลุ่มยางพารา

.

ส่วน STGT เบื้องต้นคาดแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/65 ยังชะลอถึงทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยยังโดนกดดันจากปริมาณการผลิตถุงมือยางสังเคราะห์ของจีนและมาเลเซียที่สูงขึ้น ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ราคาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจะรับรู้ต้นทุนคงที่ที่สูงขึ้นจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของกำลังการผลิตใหม่ที่ยังไม่พ้นจุดคุ้มทุน

.

ด้วยกำไรไตรมาส 3/65 ที่อ่อนแอกว่าที่คาดมาก จึงทำให้อยู่ระหว่างการทบทวนปรับประมาณการกำไรปี 2565-2566 ลง เบื้องต้นคาดกำไรทั้งปี 2565 จะมีโอกาสลงอีกราว 30-35% จากประมาณการเดิมที่ 2,417 ล้านบาท และคาดราคาเป้าหมายใหม่เบื้องต้นในกรอบ 4.50-5.50 บาท จึงปรับลดคำแนะนำจาก “ซื้อเก็งกำไร” เป็น “ขาย”

 

 


ฮ นกฮูก