ห้องเม่าปีกเหล็ก

กรณีศึกษา เจ้าสัวธนินท์ ขายแม็คโคร-โลตัส

โดย PhotoStory
เผยแพร่ :
646 views

กรณีศึกษา เจ้าสัวธนินท์ ขายแม็คโคร-โลตัส ตอนต้มยำกุ้ง เพื่อรักษา เซเว่น-ทรู | BrandCase

 

หากพูดถึงวิกฤติทางการเงิน รุนแรงที่สุด ที่ประเทศไทยเคยเจอ

หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” เมื่อช่วงปี 2540

ในเวลานั้น ก็มีหลากหลายบริษัทใหญ่ ๆ ในไทยที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งก็รวมถึงธุรกิจของ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของเครือ CP

วิธีแก้ปัญหาของเจ้าสัวธนินท์ ในตอนนั้น

คือการยอมขายธุรกิจบางส่วนไป

เพื่อรักษาธุรกิจอื่นในเครือให้อยู่ต่อไปได้

ซึ่งธุรกิจสำคัญที่ต้องยอมขายไป คือ สยามแม็คโคร และโลตัส ที่เครือ CP ปลุกปั้นมา

เรื่องราวตอนนั้นเป็นอย่างไร ?

BrandCase จะสรุปให้อ่านกัน แบบเข้าใจง่าย ๆ

ในเวลานั้นมีธุรกิจหลัก ๆ ที่เขาดูแลอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน

- ธุรกิจค้าส่ง ได้แก่ สยามแม็คโคร

- ธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ 7-Eleven และโลตัส

- ธุรกิจโทรคมนาคม ได้แก่ เทเลคอมเอเชีย หรือก็คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน

แล้วช่วงวิกฤติมันเกิดอะไรขึ้น ?

ในช่วงที่เกิดวิกฤตินั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท

ทำให้จากเดิมที่ค่าเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 25 บาท กลายมาเป็น

1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 55 บาท

เงินบาทอ่อนตัว เป็นเท่าตัว ภายในเวลาชั่วข้ามคืน

ซึ่งเรื่องนี้ก็ไปกระทบกับบริษัทที่กู้เงินจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

เพราะหากกู้เงินมาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เวลาคืนก็ต้องคืนเป็นดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน

เทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ หากก่อนที่จะเกิดวิกฤติ บริษัท กู้เงินมา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงิน 250 ล้านบาท

เวลาคืน ก็ต้องคืนเป็นเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่พอค่าเงินบาทลอยตัว เราจะต้องใช้เงินมากถึง 500 ล้านบาท เพื่อแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐคืนให้กับเจ้าหนี้

ซึ่งหลาย ๆ บริษัทของเจ้าสัวธนินท์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทั้งเทเลคอมเอเชีย ที่กู้เงินจากต่างชาติมาลงทุนในธุรกิจเคเบิล รวมถึง โลตัส ที่เพิ่งกู้เงินจากต่างชาติมาลงทุนขยายสาขาเพิ่ม

จากเดิมที่ธุรกิจกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่วันหนึ่งกลายเป็นบริษัทที่ต้องมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

และถึงแม้จะกำลังไปได้สวย แต่ต้องบอกว่า บางธุรกิจนั้นก็ยังไม่คืนทุน จึงทำให้ไม่สามารถชำระหนี้มหาศาลขนาดนั้นได้

แล้วเจ้าสัวธนินท์ ทำอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจของเขาอยู่รอด ?

แน่นอนว่าเมื่อไม่สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ เขาก็ต้องตัดสินใจขายกิจการบางอย่างทิ้ง เพื่อรักษาธุรกิจอื่น ๆ ให้อยู่รอดต่อไป

และในเวลานั้น ธุรกิจที่เจ้าสัวธนินท์ต้องการรักษาไว้มากที่สุดก็คือ ธุรกิจโทรศัพท์อย่างเทเลคอมเอเชีย

แล้วเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ?

สาเหตุหลักเลยคือเจ้าสัวธนินท์มองว่า เทเลคอมเอเชีย กำลังเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ดีในอนาคต

โดยในตอนนั้นทางเครือซีพี ได้ลงทุนทำสายเคเบิลใยแก้วใต้ดินเป็นมูลค่ามหาศาล และทางซีพีก็ถือเป็นบริษัทแรก ๆ ของโลกที่หันมาลงทุนในด้านนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการขายธุรกิจเทเลคอมเอเชีย ถึงไม่อยู่ในหัวของเขาเลย

ทีนี้เมื่อคิดที่จะเก็บรักษาเทเลคอมเอเชียไว้แล้ว เขาก็ต้องมาเลือกว่าจะต้องขายกิจการอะไรมาใช้หนี้ได้บ้าง

โดยตัวเลือกแรกที่เขาเลือกก็คือ โลตัส

ในเวลานั้น ต้องบอกว่าธุรกิจของโลตัสกำลังไปได้ดีมาก และมีการขยายสาขาไปมากถึง 20 สาขา

ซึ่งเจ้าสัวธนินท์มองว่าถ้าจะขายก็ต้องรีบขาย โดยในตอนนั้นทันทีที่เขาประกาศขายกิจการโลตัส ก็มีคนติดต่อสนใจซื้อทันที โดยไม่มีการต่อรองราคาใด ๆ ซึ่งก็ขายได้ในราคาดีตามที่คุณธนินท์คาดหวังไว้

แต่การขายโลตัสไปนั้น ก็ยังไม่สามารถนำมาชำระหนี้ได้หมด เจ้าสัวธนินท์ จึงต้องเลือกขายอีกหนึ่งธุรกิจคือ สยามแม็คโคร ซึ่งพอขายธุรกิจสยามแม็คโครได้สำเร็จ ก็มีเงินมากเพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมด

และทำให้เขายังสามารถรักษาอีก 2 ธุรกิจไว้ได้ นั่นก็คือ

- เทเลคอมเอเชีย

- 7-Eleven

ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าสัวธนินท์ก็ได้เน้น ขยายธุรกิจเดิมที่มีทั้งค้าปลีก การเกษตร โทรคมนาคม จนค่อย ๆ เติบโตขึ้น

และสุดท้าย ก็สามารถกลับมาซื้อกิจการที่เคยขายไปได้สำเร็จ

โดยได้กลับไปซื้อ สยามแม็คโคร กลับมาในปี 2556

และกลับมาซื้อ โลตัส ในปี 2563

References

-หนังสือ ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว

 

 


PhotoStory