บล.ไทยพาณิชย์ คาดหากการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่นิ่ง มีโอกาสกด SETไตรมาสสองแย่สุดที่ 1,550 จุด แนะจับจังหวะเก็บของ บริเวณ 1,550-1,600 จุด ก่อนนำไปขายที่บริเวณ 1,750–1,800 จุด พร้อมเพิ่มน้ำหนักกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ-ธุรกิจการเกษตร เหตุแนวโน้มกำไรฟื้น ชู IRPC-IVL-PTTEP-GFPT-TU เป็นหุ้นเด่น
ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)แถลงข่าวใน SCB Wealth Holistic Expertsในหัวข้อ "มุมมองเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนรับมือความผันผวนหลังการเลือกตั้ง" นำโดยทีมผู้บริหาร นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุน และที่ปรึกษาการลงทุน (CIO Office),ดร. สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส ที่ปรึกษาด้านการวางแผนการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น SCB และนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์
***การเมืองไม่นิ่ง ฉุด SET โค้งสองแตะ 1,600-1,550 จุด
นายสุกิจ กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมายังคงชะลอตัว แต่เริ่มมีสัญญาณบวกเข้ามาในเดือนมีนาคม และคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกชัดเจนในช่วง 3 - 6 เดือนข้างหน้า หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน บรรเทาลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ ของโลกจะออกมาต่อเนื่อง เช่น สหรัฐฯ จีน และน่าจะตามมาด้วย ยุโรป และ ญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกกลับมาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนอีกครั้ง อีกทั้งสภาพคล่องการเงินโลกไม่ได้ลดอย่างที่คาดทำให้แรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์ลดลง
สำหรับทิศทางของตลาดหุ้นไทย ด้วยภาพรวมหลังเลือกตั้งของประเทศไทยยังไม่ชัดเจน คาดว่าจะผันผวนในช่วงที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งอาจใช้ระยะเวลาทั้งไตรมาส 2/2562 และหลังจากมีความชัดเจนแล้วตลาดหุ้นไทยก็จะกลับไปปรับตัวตามสภาพตลาดหุ้นทั่วโลกและทิศทางของผลการดำเนินงาน
ทั้งนี้ ประเมินว่า SET Index มีโอกาสลดลงไปได้ที่ 1,600 หรือ 1,550 จุด จากปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง แต่ยังคงยืนยันเป้าหมายของปี 2562 ที่ระดับ 1,700 - 1,800 จุด
*** จับจังหวะเก็บหุ้นช่วง 1,550 -1,600 จุด
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย เรามองว่า SET จะมี downside จำกัด และไม่คิดว่าตลาดจะปรับตัวลดลงสู่จุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ในปีที่แล้ว เดือน ก.ค. ที่ 1,600 จุด และ เดือน ธ.ค. ที่ 1,550 จุด เนื่องจากภาวการณ์ลงทุนและ sentiment ในตอนนี้ดีกว่าช่วงก่อนหน้าอย่างมาก แต่ upside ก็ไม่สูงมากมองที่ระดับ 1,700 - 1,800 จุด โดยแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ราคามีโอกาสปรับตัวลดลงในช่วงที่สถานการณ์การเมืองในประเทศยังไม่ชัดเจน เนื่องจากตลาดจะคลายความกังวลหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้
ในขณะที่ความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองจะกลายเป็นเรื่องปกติของการเมืองซึ่งในความเป็นจริง
ก็ไม่ใช่เพียงการเมืองไทยเท่านั้น แต่กำลังเกิดขึ้นในเกือบทุกประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ และ ในยุโรป เป็นต้น
ดังนั้น โซนเข้าซื้ออยู่ระหว่าง 1,550 -1,600 จุด ในขณะที่โซนขายอยู่ระหว่าง 1,750 – 1,800 จุด หรือ 8 - 10% จากระดับปัจจุบัน
"ราคาหุ้นลดลงระยะหนึ่งแล้ว แต่เชื่อว่า 3-6 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวดีขึ้น เพราะการเมืองจะคลายความกังวล และ ต่างชาติจะกลับมาดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งจะวัดที่ความสามารถในการทำกำไรของบจ.โดยปีนี้เราประเมิน กำไรบริษัทบจ.ปีนี้ที่ 13%"
*** แนะเพิ่มน้ำหนักกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ-ธุรกิจการเกษตร แนวโน้มกำไรฟื้น
หุ้นเด่นไตรมาส 2/62 ชอบหุ้นวัฏจักร (cyclical) มากกว่าหุ้นตั้งรับ (defensive)และแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธุรกิจการเกษตร เพราะกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นและถูกเมื่อเทียบกับค่าอ้างอิงและระดับในอดีต
"IRPC" สถานการณ์จะพลิกกลับมาเป็นบวกในปี 2562 เนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรฐัฯ - จีน มีความคืบหน้าที่ดีบวกกับความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำจะเพิ่มขึ้นก่อนมาตรการควบคุมปริมาณกำมะถันของ IMO มีผลบังคับใช้ ราคาเป้าหมาย 8.6 บาท / หุ้น
"IVL"ราคาหุ้นปรับตัวตาม underperform หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มปิโตรเคมีสะท้อนถึงความกังวลที่นักลงทุนมีต่อแนวโน้มธุรกิจของบริษัท ปัจจุบัน valuation อยู่ในระดับต่ำที่ PER 8.7 เท่า และ PBV 1.6 เท่า ราคาเป้าหมาย 82 บาท ซึ่งให้ upside 71% บวกกับผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.6 - 3.8% ในปี 2562 - 2564
"PTTEP" มีเป้าหมายเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและสนับสนุนให้ความสามารถในการทำกำไรเติบโตในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการลงทุนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 150 บาท / หุ้น
"GFPT" ราคาผลิตภัณฑ์ในประเทศสูงขึ้นปริมาณการขายส่งออกแข็งแกร่งและต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง ซึ่งรวมกันแล้วจะช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรของธุรกิจไก่ปรับตัวดีขึ้น ในช่วงที่เหลือของปีนี้ซื้อขายที่ PE ปี 2562 ระดับ 12 เท่า
"TU" ราคาหุ้นปรับตัว outperform SET อยู่ 11% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาโดยได้รับปัจจัยกระตุ้นจากธุรกิจหลักที่ฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H61คาดว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้น YoY อย่างต่อเนื่องในปี 2562 แนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมายระยะ 12 เดือนที่ 23 บาท
*** รอตลาดหุ้นไทยนิ่งจัดพอร์ตกระจายไปยังหุ้นจีน
กลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุน ในไตรมาส 2/2562 แนะนำ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานและเศรษฐกิจรวมถึงสภาพคล่องทางการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง โดยในขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังรอความชัดเจนทางการเมือง แนะนำกระจายการลงทุนไปตลาดหุ้นโลก, หุ้น Asia Ex Japan โดยเฉพาะหุ้นจีน และ สร้างสมดุลด้วยสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ
ส่วนตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุยาวขึ้นในช่วงประมาณ 4 ถึง 6 ปี หรือ สินทรัพย์ทางเลือกอื่น เช่น REITs และ Emerging Market Bond เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะส่งผลให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดทางเลือกอื่นๆ ในการลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เราประเมินความเสี่ยงที่สำคัญในการลงทุนจะยังคงอยู่ ไม่ว่าเศรษฐกิจขยายตัวได้ในระดับที่ต่ำลงเนื่องจากเป็นช่วงปลายของการขยายตัว (Late Cycle) และความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้น การจัดพอร์ตโฟลิโอยังคงแนะนำให้มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
*** อัตราดอกเบี้ย ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
นายศรชัย กล่าวว่า ในปี 2562 เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ของโลก มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ในปี 2562 ลงอยู่ที่ 3.3% จาก 3.5% ที่ได้ประมาณการไว้ครั้งก่อน ขณะที่ธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลก ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในไตรมาส 2/2562 ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องในระบบปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางจีน (PBoC) ซึ่งเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก
อัตราดอกเบี้ย ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ แต่อย่างไรก็ตามหากเครื่องชี้วัดต่างๆ ในช่วง 3 - 4 เดือนข้างหน้า บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง Fed อาจส่งสัญญาณเปลี่ยนมุมมองต่อนโยบายการเงิน เป็นโทนเชิงเข้มงวดมากขึ้น เพื่อเตือนตลาด ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 แม้ว่ายังจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2562 จริงก็ตาม
สำหรับ เงินดอลลาร์ สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในไตรมาส 2/2562 เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Yield Curve ของสหรัฐฯ ก็อยู่สูงกว่าเช่นเดียวกัน สำหรับสกุลเงินของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีเสถียรภาพแข็งแกร่ง มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงิน ดอลลาร์ สหรัฐฯ
*** คาดจีดีพีปีนี้โต 3.6% จากเดิม 3.8%
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดย SCB-EIC คาดการณ์ GDP ในปี 2562 อยู่ที่ 3.6% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.8% จากการส่งออกสินค้าที่ลดลงมากกว่าคาด ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ตลอดปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอลงมากกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยในระยะถัดไปจะขึ้นอยู่กับช่องว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Monetary Policy Gap) ระหว่างสหรัฐฯ และไทย
*** แนะเลี่ยง ตราสารหนี้เอกชนสหรัฐฯ คุณภาพเครดิตเริ่มลด
กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/2562 ในส่วน ตลาดตราสารหนี้ (Fixed Income) มองว่า Yield Curve ไม่น่าจะกลับมา Inverted ในไตรมาส 2/2562 เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณดีขึ้น และตลาดรับรู้เรื่องการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของ Fed ไปมากแล้ว ซึ่งหากเศรษฐกิจส่งสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ Fed กลับมาส่งสัญญาณเปลี่ยน Policy Stance เป็นโทนเชิงเข้มงวดมากขึ้นเพื่อเตือนตลาด ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 แม้ว่ายังจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2562 จริงก็ตาม เป็นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีได้ ดังนั้น ไม่แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวต่างประเทศ
US High Yield ไม่แนะนำให้ลงทุน เนื่องจาก คุณภาพเครดิต (Credit quality) ของตราสารหนี้เอกชนสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากสัดส่วนของ US High Yield (rating ตั้งแต่ BBB ลงไป) ที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 60% ของทั้งหมด นอกจากนี้ Valuation ของ US High Yield ในปัจจุบัน ถือว่าค่อนข้างแพง สะท้อนจาก Credit spread ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก
ส่วนตราสารหนี้ไทยอายุไม่เกิน 5 ปี ยังน่าสนใจลงทุน เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในปีนี้
*** แนะ Overweight ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลงหุ้นกลุ่ม Defensive
ตลาดตราสารทุน (Equity)มองว่าตลาดหุ้นที่ปรับลดลงในช่วงไตรมาส 4/2561 ได้สะท้อนปัจจัยลบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed และตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปีนี้แล้วบางส่วน สำหรับในไตรมาส 2/2562 ยังสามารถทยอยสะสมหุ้นในบางตลาดได้ จากแรงกระตุ้นจากธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบปรับเพิ่มขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจในบางประเทศเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น เช่น PMI ภาคการผลิตของจีนกลับมาฟื้นตัว ยืนเหนือ 50 จุด หลังทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และ ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น และ ความเสี่ยงที่เริ่มคลี่คลายลง ทั้งประเด็น Brexit และ Trade War
น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นหลักต่างๆ ให้ Overweight ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ได้แก่ หุ้นกลุ่ม Low Volatility และ Healthcare ซึ่งมีแนว
โน้ม Outperform หุ้นกลุ่ม Cyclical ในเศรษฐกิจ Late Cycle และ Underweight ตลาดหุ้นยุโรป เศรษฐกิจยูโรโซนส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน
ขณะที่ประเด็น Brexit ยังยืดเยื้อ Neutralตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นจีน โดยเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของทางการจีน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีน A Share ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ Upside ปรับลดลง และอาจมีความเสี่ยงจากการถูกขายทำกำไร ดังนั้นแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีการอ้างอิงผลตอบแทนขาขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้นจีน แต่มีการ Protect Downside เช่น structure note หรือ structure funds
*** แนะลดน้ำหนักลงทุนทองคำ เหตุเทรนด์ดอลลาร์แข็งค่า
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 2/2562 และ ไตรมาส 3/2562 สินทรัพย์ทางเลือกที่เป็น ทองคำ: Underweight เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นเทียบเงินสกุลหลัก ประกอบกับนักลงทุนเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และขายทองคำหลังตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้น
ส่วน น้ำมัน: Neutral โดยราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจำกัด เนื่องจากตลาดรับรู้ประเด็นที่สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรอิหร่านไปพอสมควรแล้ว และกลุ่มโอเปก นำโดยซาอุดิอาระเบีย สามารถกลับมาเพิ่มกำลังการผลิต โดยไม่คงนโยบายลดกำลังการผลิตอีกต่อไป เนื่องจากราคาดึงดูดให้ผลิตเพิ่ม