ห้องเม่าปีกเหล็ก

คัด 5 หุ้นเด่น ที่แข็งแกร่งกว่าตลาด

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
49 views

คัด 5 หุ้นเด่น ที่แข็งแกร่งกว่าตลาด หลบปัจจัยลบ...เลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

Recession หนึ่งความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกในขณะนี้ โดยสัญญาณอะไรบ้างที่ทำให้คาดการณ์ว่า ประเด็นดังกล่าวมาแน่ เพราะล่าสุดนักวิเคราะห์ได้ออกมาประเมินเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เกี่ยวกับสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสการเกิด Recession ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงนักลงทุนควรทำอย่างไร Wealthy Thai หาคำตอบให้แล้ว


ทั้งนี้นักวิเคราะห์ได้ออกมาประเมินเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเปิดเผยว่า เริ่มเห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสการเกิด Recession อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯและ EU ที่อยู่ในระดับต่ำมาก, GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯที่มีการคาดการณ์ว่าจะรายงานออกมาติดลบ และการที่รัสเซียไม่ส่งออกพลังงานให้ EU ทำให้ต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น


นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Recession หรือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย คือสภาวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะสะท้อนจาก GDP ชะลอตัว, รายได้ที่แท้จริงลดลง, อัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง, ผลผลิตอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีก-ค้าส่ง ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ได้กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาว่าเกิด Recession หรือไม่ โดยกำหนดว่าหาก GDP ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า จะถือว่าเป็นการเกิด “Technical Recession” ทันที


โดยปัจจุบันตัวเลขทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯหลายๆตัวยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯที่อยู่ในระดับต่ำมาก, ยอดค้าปลีกสหรัฐฯที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯยังไม่เข้าสู่Recession


แต่ฝ่ายวิจัยเริ่มเห็นสัญญาณถึงโอกาสเกิด Recession ในสหรัฐฯ จากดัชนีเศรษฐกิจบางตัว อาทิ 1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯที่จัดทำโดยมหาลัย Michigan เดือน มิ.ย.รายงานออกมาที่ 50.2 ทำระดับต่ำสุดตั้งแต่เคยมีการทำดัชนีนี้ขึ้นมา 2. การคาดการณ์ GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ โดย FED สาขา Atlanta ที่ระดับ -2.1%จากไตรมาสก่อน (ไตรมาส1/65 -1.6%จากไตรมาสก่อน)


เช่นเดียวกันกับ EU ที่เริ่มเห็นสัญญาณการเกิด Recession จาก 1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ -23.60 ใกล้เคียงกับช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด Covid-19 และ 2. EU พึ่งพาพลังงานจากรัสเซียค่อนข้างมาก ซึ่งได้รับผลกระทบหลังจากรัสเซียไม่ขายพลังงานให้ EU ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น และไปกัดกร่อนกำลังซื้อของประชาชน



หากเกิด
Recession จริง...ควรลงทุนอย่างไร ??

อ้างอิงข้อมูลการเกิด Recession ของสหรัฐฯตั้งแต่ปี 2000 – ปัจจุบัน เกิด Recession ทั้งหมด 3 ครั้งได้แก่ Dot-com and 9/11 Crisis (ปี 2000), Global Financial Crisis (ปี 2007-2009 และ Covid-19 (ปี 2020) โดยตลาดหุ้น S&P500 มีสถิติที่สำคัญ ดังนี้

  1. ตลาดหุ้น S&P ปรับตัวลงเฉลี่ยราว 46.6% (ปี 2000 -51%, ปี 2007 -58%, และ ปี 2020 -35%) โดยมีระยะเวลาการเกิด Bear Market ที่แตกต่างกัน โดยในปี 2000 ตลาดอยู่ใน Bear Market 638 วัน, ปี 2007 เกิด Bear Market 352 วัน และ ปี 2020 เกิด Bear Market 23 วัน

  2. จุดต่ำสุดของ FWD PE ของตลาด S&P ในรอบปี 2000-2003 เท่ากับ 14.67 เท่า , 2007-2009 เท่ากับ 9.95 เท่า และ 2020 เท่ากับ 13.99 เท่า

  3. อุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงที่เกิด Recession ได้แก่ Consumer Staple และ Health Care



ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงเป็นการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง และเพิ่มสัดส่วนเงินสด จนกว่า Valuation ของ S&P500 จะปรับลงมาที่บริเวณ 14-15 เท่า (ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว และ GDP ยังเติบโตในอัตราเร่ง แตกต่างกับสหรัฐฯ) ขณะที่หุ้นที่เลือกลงทุน เน้นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่ประเมินว่าจะ Outperform ตลาด หากเกิด Recession ได้แก่ CPALL, MAKRO, BGRIM, GPSC, BDMS



สำรวจปัจจัยพื้นทางของทั้ง
5 หุ้น

CPALL โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินแนวโน้มไตรมาส 2/65 ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะยังเติบโตได้ 10% และคาดว่าจะมีกำไรราว 3,500 – 3,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีช่วงวันหยุดเทศกาลเยอะ รวมถึงการกลับมาเรียนที่โรงเรียน และการกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ


ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลัง 65 คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกปี 65 จากการยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่าจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวในครึ่งหลังปี 65 ราว 4.8 ล้านราย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายของ 7-11 ที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ (คิดเป็น 15% ของสาขาทั้งหมด) จึงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 14,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% และในปี 2566 ที่ 23,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% กลับเข้ามาสู่ระดับปกติก่อนช่วงโควิด แนะนำ “ซื้อ ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 72 บาท คาดว่าราคาปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


MAKRO โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เชิงปัจจัยพื้นฐาน ยังคงให้น้ำหนักบวกกับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 65-66 ที่จะโตเด่นเป็น 1.05 หมื่นล้านบาทและ 1.70 หมื่นล้านบาท เติบโต 46% และเติบโต 62%ตามลำดับ


โดยปัจจัยขับเคลื่อนในปี 65 อยู่ที่ การรวมกิจการโลตัสส์เต็มปีจากปีก่อนที่รับรู้เพียง 68 วัน คาดกำไรจากธุรกิจโลตัสส์ปี 65 อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท จากปีก่อน +397 ล้านบาท , synergies การรวมธุรกิจที่คาดเกิดในปีนี้ราว 1 พันล้านบาท จากแผนที่บริษัทตั้งไว้ 2.7 พันล้านบาทภายในปี 66 และ ธุรกิจ MAKRO ที่จะได้แรงหนุนอานิสงส์การเปิดเมือง คาด SSSG บวกเร่งขึ้นเป็นบวก 3% จาก บวก 2.5% ในปีก่อน และสาขาในต่างประเทศฟื้นตัว โดยในกัมพูชาและเมียนมาร์เริ่มสร้างกำไรแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1/65 จึงคงแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยมีราคาเป้าหมายที่ 47.0 บาท


BGRIM โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เบื้องต้นคาดผลประกอบการของ BGRIM จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 65 เนื่องจากบริษัทฯมีกำหนด COD โรงไฟฟ้า SPP สำหรับทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมจำนวน 5 โครงการรวมกำลังผลิต 700MW ในครึ่งหลัง 65 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯมีอัตราการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าลดลง คาดปี 65 กำไรสุทธิ 1,300 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 2,275.70 ล้านบาท ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 33.25 บาท/หุ้น คงแนะ “Trading”


ทั้งนี้แม้คาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 400-450 บาท/ล้านBTU อย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มทรงตัว แต่คาดกำไรปกติไตรมาส 2/65 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน จาก 1.การปรับขึ้นค่า Ft อีกราว 23.38 สตางค์/หน่วยสำหรับงวด พ.ค. - ส.ค. 65 ของกกพ. ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของ BGRIM ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน และ 2.รับรู้รายได้จากกลุ่มลูกค้า IU ที่เชื่อมต่อในไตรมาส 1/65 แบบเต็มไตรมาส แต่คาดกำไรปกติจะยังลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะจากฐานที่สูงในปีก่อน


GPSC โดยนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ว่าราคาต้นทุนพลังงานจะยังคงอยู่ในระดับที่สูง แต่ทางฝ่ายคาดกำไรในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวจากการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้า และโรงไฟฟ้าสำคัญที่ปิดดำเนินการนอกแผนจะกลับมาดำเนินการตามปกติ รวมไปถึงจะมีกำลังผลิตที่จะ COD เข้ามาเพิ่ม นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจ EV ซึ่งมีโอกาสสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอีกมากในอนาคต ในส่วนของราคาหุ้นได้ลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว จึงทำให้ ณ ราคาปัจจุบันยังคงมี upside อยู่พอสมควร จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 80.00 บาท


โดยทางฝ่ายคาดรายได้จากการขายไฟฟ้าปี 65 ที่ 1.09 แสนล้านบาท เติบโต 47%จากปีก่อน จากการได้ปรับค่า Ft ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงโรงไฟฟ้าสำคัญกลับมาดำเนินการตามปกติ อย่างไรก็ตาม คาดต้นทุนขายไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 55% ที่ 9.8 หมื่นล้านบาท จากราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้นในส่วนของโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งลูกค้าหลักเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม (46% ของรายได้จากการขายไฟฟ้า) ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากได้ และทางฝ่ายคาดว่าราคาต้นทุนพลังงานจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้คาดส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและร่วมค้า 1.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น26% จากการรับรู้กำไรจากบริษัท AEPL ที่จะมีการ COD กว่า 1,000 MW ในปีนี้ โดยทางฝ่ายคาดกำไรสุทธิปี 65 ที่ 5.06 พันล้านบาท ลดลง 31% จากปีก่อน


และสุดท้าย BDMS โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ( ประเทศไทย ) จำกัด เปิดเผยว่า แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 30 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ที่ 2.7 พันล้านบาท เติบโต 87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้น 22%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2 หมื่นล้านบาท เพราะ Pent up demand ทั้งจากคนไข้ไทยและต่างชาติ (หลักๆ คือ ตะวันออกกลางและ CLMV) และรายได้เกี่ยวกับโควิด-19 ช่วยหนุน (คิดเป็น 10% ของรายได้รวม) แต่รายได้ลดลง 9.5%จากไตรมาสก่อนตามปัจจัยฤดูกาล ด้าน EBITDA margin เพิ่มเป็น 24.7% จาก 21.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดจาก 26.7% ในไตรมาสก่อนกำไรสุทธิจึงลดลง 21%จากไตรมาสก่อน


ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิปี 65-66 เติบโตแข็งแกร่ง โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปีดังกล่าว ขึ้น 10% และ 6% สะท้อนรายได้และมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาดไว้เดิม ยังผลให้กำไรสุทธิปี 65-66 เติบโต 39% เป็น 1.1 หมื่นล้านบาท และเติบโต 10% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาทตามลำดับ

 


โจ๊กเกอร์