ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถึงเวลาของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โดย Fin-trading
เผยแพร่ :
104 views

 

 วันที่ 20 ม.ค.นี้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้ฤกษ์การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ขณะที่ IMF ชี้นโยบาย 'ทรัมป์' ดันเศรษฐกิจสหรัฐโตเพิ่ม : กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เผยรายงานแนวโน้ม เศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด ปรับเพิ่มคาดการณ์ เศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า อานิสงส์นโยบายภาษี-ทุ่มใช้จ่ายรัฐบาลใหม่สหรัฐ ภายใต้ การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่คง คาดการณ์เศรษฐกิจโลกไว้ที่ระดับเดิม เหตุตลาดเกิดใหม่ซบเซา

 

ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลก จะขยายตัว 3.4% ปีนี้ และ 3.6% ปีหน้า ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนต.ค. ซึ่งตัวเลขการขยายตัวดังกล่าวนับว่าเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้นจากระดับ 3.1% เมื่อปีที่แล้ว อันเป็นปีที่เศรษฐกิจขยายตัว ในระดับต่ำที่สุดตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกปี 2550

 

รายงานฉบับล่าสุดประเมินว่ามาตรการกระตุ้นทางการคลังตามแนวนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศ เติบโตได้ถึง 2.3% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมเดือนต.ค. 0.1% และขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ที่ระดับ 2.5% ในปีหน้า อันเป็นการปรับขึ้น จากคาดการณ์เดิม 0.4%

 

อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟชี้ว่า แผนการด้านการคลังของนายทรัมป์ ที่รวมถึงการลดภาษีและการทุ่มใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาจเป็นชนวนให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น ขณะที่ตลาดแรงงานก็มีการจ้างงานเกือบเต็มอัตราแล้ว

 

"หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วมากขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อันจะส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาก และจะทำให้การเติบโตที่แท้จริงลดลง ทั้งยังจะสร้างแรงกดดัน ด้านงบประมาณ ส่วนการขาดดุลบัญชี เดินสะพัดก็จะเพิ่มขึ้น"

นายมัวริซ ออบเฟลด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ แถลง พร้อมเสริมว่าสภาพการณ์ดังกล่าวจะทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่สหรัฐจะใช้มาตรการกีดกันการค้าและตอบโต้ทางการค้า ซึ่งหากเป็นจริงขึ้นมาจะส่งผลเสียต่อทุกประเทศ

 

คาดสหรัฐไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีน

 

นายออบเฟลด์ชี้แจงว่าไอเอ็มเอฟ ไม่ได้ประเมินทิศทางการค้าภายใต้รัฐบาลของนายทรัมป์ ว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากนายทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีสินค้า จากจีนและเม็กซิโก เพราะแนวทางนี้ ไม่น่าถูกนำมาใช้ เนื่องจากนักการเมืองคนอื่นไม่สนับสนุน อีกทั้งหากนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ จะส่งผลเสียต่อสหรัฐเอง เพราะมีความเสี่ยงที่จะถูกประเทศต่างๆ ตอบโต้จนกลายเป็นสงครามการค้า

 

การปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐของไอเอ็มเอฟ สวนทางกับธนาคารโลกที่เปิดเผยรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และ คงคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ ด้วยเหตุผลว่าทิศทางนโยบายของนายทรัมป์ไม่ชัดเจน

 

 

ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ ผู้ส่งออกน้ำมันดีขึ้น แต่หากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นและเงื่อนไขทางการเงินตึงตัวมากขึ้น จะส่งผลกระทบแง่ลบต่อตลาดเกิดใหม่ รวมถึงเม็กซิโกกับบราซิล ไอเอ็มเอฟ จึงปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจเม็กซิโกลง 0.6% ทั้งในปีนี้และปีหน้า

 

อินเดีย ซึ่งขยายตัวได้ในระดับต้นๆ ของโลกกำลังเผชิญภาวะช็อก ด้าน การบริโภค หลังจากรัฐบาลตัดสินใจยุติการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี ทำให้ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์ลง 0.4% ปีนี้ เหลือ 7.2%

 

ปรับเพิ่มคาดการณ์จีน

 

ในส่วนของจีนนั้น ได้รับการปรับเพิ่ม คาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เป็น 6.5% หรือเพิ่มขึ้น 0.3% จากคาดการณ์เดิม เพราะคาดว่าจะได้แรงหนุนอย่างต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สำหรับปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโตได้ 6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์เดิม พร้อมเสริมว่าการที่จีนพึ่งพามาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ประกอบกับหนี้สิน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความล่าช้า ในการแก้ปัญหาหนี้ภาคธุรกิจ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยง ที่อาจฉุดให้เศรษฐกิจดิ่งลง

 

ทั้งนี้ หนี้สินภาคธุรกิจจีนไต่ระดับขึ้นถึง 169% ของจีดีพี และสถาบันระหว่างประเทศเรียกร้องหลายครั้งให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งลงมือแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันวิกฤติการเงิน ซึ่งผู้นำจีนกล่าวว่ารัฐบาลจะเน้นแก้ปัญหาความเสี่ยงภาคการเงินในปีนี้ ขณะที่หัวหน้าสำนักงานวางแผนแห่งชาติกล่าวว่าจีนจะจำกัดสัดส่วนหนี้ภาคธุรกิจให้อยู่ในระดับปัจจุบัน

 

ยูโรโซน-ญี่ปุ่นขยายตัวดีขึ้น

 

ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน 0.1% เป็น 1.6% ปีนี้ และปรับเพิ่ม คาดการณ์ญี่ปุ่น 0.2% เป็น 0.8% ปีนี้ สืบเนื่อง จากเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2559 ของยูโรโซนและญี่ปุ่นขยายตัวได้แข็งแกร่งเกินคาด

 

สำหรับอังกฤษได้รับการปรับเพิ่มคาดการณ์ เศรษฐกิจปีนี้ขึ้น 0.4% เป็น 1.5% เพราะอุปสงค์ในประเทศดีกว่าที่คาดไว้ แต่ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าลง 0.3% เหลือ 1.4%

 

ไอเอ็มเอฟระบุว่าความเสี่ยงขาลงสำหรับเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความเป็นไปได้ ของการนำนโยบายกีดกันการค้ามาใช้ การเข้มงวดเงื่อนไขทางการเงิน ความตึงตัว ของระบบธนาคารในยุโรป และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเพิ่มขึ้น แต่ชี้ว่ามีแนวโน้มที่การเติบโตอาจ เพิ่มขึ้นได้ หากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐหรือจีน ส่งผลดีมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจะก่อให้เกิดผลพวงแง่บวกต่อคู่ค้าของทั้งสองประเทศ

 

เครดิตภาพ กรุงเทพธุรกิจ

 

ไอเอ็มเอฟเสริมว่าทิศทางนโยบายสหรัฐน่าจะชัดเจนขึ้นก่อนการเปิดเผยรายงานทบทวนเศรษฐกิจโลกฉบับใหม่ในเดือนเม.ย.

 

ขอบคุณแหล่งข่าว : กรุงเทพธุรกิจ


Fin-trading