ห้องเม่าปีกเหล็ก

บล.เอเชียพลัส เช็กสุขภาพ 6 แบงก์

โดย ใจอยู่ที่กระบี่
เผยแพร่ :
66 views

บล.เอเชียพลัส เช็กสุขภาพ 6 แบงก์ ก่อนเปิดผลประกอบการไตรมาส 1/65

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส เข้าสู่ฤดูกาลผลประกอบการงวด 1Q65 ของกลุ่มธนาคาร คาดกำไรสุทธิกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (6 ธนาคาร) งวดไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 19% จากไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) และเพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีแรงหนุนจากแนวโน้ม Credit Cost ที่ลดลง อานิสงค์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านค่าใช้จ่ายดำเนินงานอ่อนตัวตามฤดูกาล ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรับฯคาดการณ์ฟื้นตัวไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของสินเชื่อ

โดยคาดว่า BBL กำไรเด่นกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ บวก 23% QoQ และ 13% YoY แนวโน้มหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อ (NPL / Loan) ณ สิ้นงวดไตรมาสแรกของปีนี้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงไตรมาส 4 ปี 64 ที่ 3.8% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดี ขณะที่แนวโน้มระยะถัดไปเศรษฐกิจไทยน่าจะได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของภาครัฐ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ไปจนถึงสิ้นปี 2566 ภายใต้ปัจจัยข้างต้นฝ่ายวิจัยประเมินช่วยให้การปรับตัวขึ้นของ NPL ช่วงที่เหลือของปีอยู่ในกรอบเป้าหมายทางการเงินของแต่ละธนาคาร

“ภาพรวมมองกลุ่มธนาคารซื้อขายบน PBV ไม่แพงอยู่ที่ 0.75 เท่า เลือกธนาคารพาณิชย์ที่มีจุดเด่นเฉพาะตัว อย่าง KBANK(FV@B174) รับประโยชน์มากสุดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งปรับตัวด้าน Digital ค่อนข้างดี ตามด้วย BBL(FV@B152) มี PBV ซื้อขาย 0.5 เท่า ไม่แพงและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ส่วนธ.พ. ขนาดเล็ก ชอบ TISCO(FV@B106) จาก Div yield สูงสุดในกลุ่มฯ”

อานิสงค์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการเร่งตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ช่วงก่อนหน้านี้ สะท้อนจาก Coverage Ratio กลุ่มฯ ณ สิ้นงวดไตรมาส 4/64 ที่ 163% ด้านกำไรก่อนสำรอง (PPOP) คาดฟื้นตัว 4% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (+2% YOY)เพราะประเมินค่าใช้จ่ายดำเนินงานอ่อนตัว 12% QoQ (+5% YoY) ชดเชยรายได้รวมที่คาดไว้ 1.53 แสนล้านบาท ลดลง 3.5% QoQ (+3.6% YoY)

  • ทั้งนี้ปัจจัยลบคาดว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non - NII) จะลดลง 12 % จากไตรมาสก่อน และลดลง 6% จากปีก่อนหน้าที่ 4.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรายได้ที่มีใช่การดำเนินงานหลักมีฐานสูงงวดก่อน จาก SCB ที่มีกำไรจากการขายNPA, NPL เช่นเดียวกับ KKP ที่มีหนี้สูญรับคืน และกับทิศทางรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มฯ อยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท ลด 5% Q0Q (-6% YoY) ตามปัจจัยฤดูกาล อาทิ TISCO ที่มีPerformance fee จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุน
  • ขณะที่ปัจจัยบวก คือ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NI) เพิ่มขึ้น 0.5% QoQ (+8.5% YOY) กำหนดสมมติฐาน NIM กลุ่มฯ ทรงตัว QoQ และ YoY บนแนวโน้มสินเชื่อขยายตัว 1.1% QoQ (+6.3% YoY) และ 1% Q๐Q (+8% YoY) ตามลำดับ หลังเข้าสู่ฤดูกาลขายรถยนต์ใหม่ เอื้อต่อสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และ Floorplan รวมทั้งสินเชื่อ Working capital สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมิน ธ.พ. ที่รายงานกำไรขยายตัวเด่นกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ เชิงไตรมาส นำโดย SCB (+31% QoQ, +3% YoY),BBL (+23% QoQ, +13% YoY)และ KTB (+21% QoQ, +8 % YOY) ขณะที่ KBANK คาดเพิ่ม  14% จากฐานสูงราว 9.9 พันล้านบาท ในงวด 4Q64 ( +6% YoY) ส่วน KKP คาดเป็น ธ.พ. เดียวที่รายงานกำไรอ่อนตัว 11% QoQ (+23% YOY) เพราะงวดก่อนมีหนี้สูญรับคืนราว 1 พันล้านบาท ทั้งนี้หากกำไรสุทธิไตรมาสแรกของปี 65 เป็นไปตามคาดการณ์จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565

ส่วนคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในการบริหารจัดการ ที่มาจากมาตรการ ธปท. แนวโน้ม NPL / Loan ณ สิ้นงวดไตรมาส 1/65 อยู่ในระดับใกล้เคียงไตรมาส 4/64 ที่ 3.8% ผลจากเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางดีขึ้น เป็นผลบวกต่อรายได้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ขณะที่แนวโน้มระยะถัดไปเศรษฐกิจไทยน่าจะได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของภาครัฐ(ภาคท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 20% ของ GDP ไทย) เอื้อต่อลูกหนี้ในกลุ่มภาคบริการ ขณะที่มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวของธปท. ซึ่งลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ธ.พ.สามารถผ่อนผันการจัดชั้นลูกหนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2566 ภายใต้ปัจจัยข้างต้นฝ่ายวิจัยประเมินช่วยให้การปรับตัวขึ้นของ NPL ช่วงที่เหลือของปี อยู่ในกรอบเป้าหมายทางการเงินของแต่ละธนาคาร (เพิ่ม 0.2% - 0.8% จากสิ้นปี 2564) ทั้งนี้ การปรับขึ้นของ NPL สวนทางกับCredit Cost ที่มีแนวโน้มลดลง เพราะการเร่งตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงของ ธ.พ.ตั้งแต่ปี 2563

สำหรับประเด็นที่ควรให้น้ำหนักจากการประชุมนักวิเคราะห์งวดไตรมาส 1/65 ได้แก่ เป้าหมายทางการเงินปี 2565 ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ (โดยเฉพาะเป้าหมาย Credit Costและ NPL Ratio) บนสภาวะแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากตอนต้นปี รวมทั้งจำนวนมูลหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือ โดยฝ่ายวิจัยคาดมูลหนี้ภายใต้มาตรการฯ ทรงตัวจากไตรมาส 4/64 แม้ลูกหนี้ภาคบริการดีขึ้น แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีลูกหนี้กลุ่มใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น ตามทิศทาง Inflation เข้ามาทดแทน เป็นไปตามวงจร NPL ซึ่งมองว่าสถานการณ์น่ากังวลน้อยกว่าช่วง Lockdown เมืองช่วงไตรมาส 2/63 และตลอด 9 เดือนของปี64 ที่ลูกหนี้แทบไม่มีรายได้ ทั้งนี้ ธปท. ยังคงมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมาตรการฯ ของปี 2565 - 66 เป็นดังนี้

  • รูปแบบที่ 1 (กลุ่มสีฟ้า) เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยกำหนดเงื่อนไขในการช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้ของลูกหนี้ (ลดดอกเบี้ย, เงินต้น)เพิ่มเติมจากการช่วยเหลือเพียงการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ธ.พ. สามารถผ่อนปรนการจัดชั้นและการกันเงินสำรอง
  • รูปแบบที่ 2 (สีส้ม) เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพียงขยายระยะเวลาชำระหนี้สำหรับลูกหนี้กลุ่มนี้จัดชั้นตาม TFRS 9 ทำให้การเลื่อนชั้นจาก Stage 3 เป็นStage 2 ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ติดต่อกัน 3 เดือน และจาก Stage 2 เป็น Stage 1 ชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ติดต่อกัน 9 เดือน อาจทำให้ทิศทางสินเชื่อที่ถูกจัดชั้นเป็น Stage 2 ขยายตัวขึ้นจากราว 1.05 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2564(ประมาณ 7.7% ของสินเชื่อกลุ่มฯ)

“เลือก KBANK, BBL และ TISCO คงน้ำหนักเท่าตลาด สำหรับกลุ่มฯ คงมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 - 66 ตามการฟื้นของภาคท่องเที่ยว คาดหนุนต่อรายได้ครัวเรือน ช่วยลดความเสี่ยงด้านงบดุลที่ยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพการชำระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้ อันเป็นผลมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้”

ที่มา : https://inv4.asiaplus.co.th/asps/research_file.php?id=62413&file=1

 


ใจอยู่ที่กระบี่