โดย อิคคิวซัง
เผยแพร่ : 
386 views
นีลเส็น ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาด ได้เปิดเผยมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในช่วงมกราคมถึงสิงหาคมปี 2565 มีมูลค่ารวม 78,293 ล้านบาท โดยภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 23.04% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และสื่อทีวียังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนของการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดอยู่ที่ 54%
.
.
เมื่อเม็ดเงินโฆษณากำลังไหลเข้าระบบ และสื่อทีวียังคงมีส่วนแบ่งสูงสุด ลองมาสำรวจ 4 หุ้นสื่อบันเทิงในตลาดหลักทรัพย์ หลังประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 และนักวิเคราะห์ได้ประเมินถึงแนวโน้มของผลประกอบการทั้งปี 2565
.
.
เริ่มจากพี่ใหญ่ช่อง 3HD บมจ.บีอีซี เวิลด์ หรือ BEC ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วกว่า 26 ปี ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2539 ได้รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 65 มีกำไรสุทธิ 347 ลบ. เพิ่มขึ้น 7.2% จากในครึ่งปีแรกปี 2564 ที่มีกำไร 323 ลบ.
.
.
ขณะที่ในปี 2564 กำไรสุทธิของBEC มีจำนวน 761 ลบ. ซึ่งปรับตัวดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลประกอบการย้อนหลังตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด โดยในปี 2563 ที่โควิดเริ่มแพร่ระบาดในไทย มีผลขาดทุนสุทธิ 214 ลบ. ส่วนในปี 2562 ก่อนโควิดระบาดขาดทุนสุทธิ 397 ลบ. และในปี 2561 ที่ขาดทุนสุทธิ 330 ลบ.
.
.
ส่วนราคาหุ้น BEC เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565 อยู่ที่ 13.30 บาท ลดลง 5.7% เมื่อเทียบราคาสิ้นปี 2564 ที่ 14.10 บาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคป 26,600 ลบ. ลดลง 5.7% จากมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2564 ที่ 28,200 ลบ.
.
.
#BECครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ คาด ผลประกอบการของ BEC น่าจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 คาด
1.ยอดโฆษณาเพิ่มขึ้น และการออกอากาศละครใหม่ที่เพิ่งลงจอเป็นคร้ังแรก และรายการวาไรตี้โชว์จะช่วยกระตุ้นรายได้ ค่าโฆษณา และอัตราการใช้เวลาโฆษณา (utilization rate) ที่ดีขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก
2.ยอดขาย content licensing เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง
.
.
ฝ่ายวิจัยเคจีไอ ยังคงประมาณการกำไรปี 2565F ที่ 890 ลบ. และปี 2566F ที่ 1.1 พันลบ. และคงราคาเป้าหมายของครึ่งปีแรก 2566 ที่ 15.30บาท (PER ที่ 31x) พร้อมคงคำแนะนำ "ซื้อ"
.
.
ตามมาด้วยช่องวัน 31 ภายใต้การบริหารของบมจ. เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ ONEE ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 โดยรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 65 มีกำไรสุทธิ 429 ลบ. ลดลง 5.7% จากในครึ่งปีแรกปี 2564 ที่มีกำไร 455 ลบ. โดยบริษัทชี้แจงสาเหตุที่กำไรลดลงเป็นผลจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น (ONEE จ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรกหุ้นละ 0.12 บ. และขึ้น XD แล้วเมื่อ 23 ส.ค.65)
.
.
ผลประกอบการย้อนหลังของ ONEE ในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 828 ลบ. เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 634 ลบ. ซึ่งบล.พาย ได้ออกบทวิเคราะห์ คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 963 ลบ. และคาดในปี 2566 กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 1,119 ลบ.
.
.
ส่วนราคาหุ้น ONEE เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565 อยู่ที่ 10.80 บาท เท่ากับราคาปิดสิ้นปี 2564 ที่ 10.80 บาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปเท่ากับสิ้นปีก่อนที่ 25,717 ลบ. ซึ่งฝ่ายวิจัยบล.พาย มองว่า ราคาหุ้น ONEE น่าดึงดูดกว่าหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมสื่อ โดยให้มูลค่าพื้นฐาน 11.60 บาท
.
.
ฝ่ายวิจัยบล.พาย มองจุดเด่น ONEE ในการผลิตคอนเทนต์ป้อนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เหนือคู่แข่ง หลังจากเรตติ้งก้าวขึ้นสู่อันดับ 3 ในแง่ของเรตติ้งการรับชมเฉลี่ยทั้งวันในช่วง Q2/65 และยังมีเรตติ้งในช่วงไพร์มไทม์เป็นอันดับ 2 ในช่วงไตรมาส 2 อีกด้วย ทำให้มีโอกาสในการปรับเพิ่มค่าโฆษณาขึ้นก่อนเริ่มปี 2566
.
.
บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK ช่องเวิร์คพอยท์ ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2547 โดยรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 65 มีกำไรสุทธิ 70 ลบ. ลดลง 75% จากในครึ่งปีแรกปี 2564 ที่มีกำไร 271 ลบ. ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนช่วงโควิดแพร่ระบาดที่มีการงดออกอากาศ (WORK จ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรกหุ้นละ 0.20 บ. และขึ้น XD แล้วเมื่อ 24 ส.ค.65)
.
.
ลองดูผลประกอบการของ WORK ย้อนหลัง 4 ปี ในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 345ลบ. และในปี 2562 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 159 ลบ. ขณะที่ในปี 2563 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิดในไทย WORK มีกำไร 159 ลบ. และขยับเพิ่มขึ้นในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 324 ลบ.
.
.
ความเห็นจากนักวิเคราะห์บล.ฟินันเซียไซรัส ให้คำแนะนำในบทวิเคราะห์โดยระบุว่าเป็น "ปีแห่งการถดถอย" จากค่าใช้จ่ายโฆษณา (adex) ที่คาดว่าจะอ่อนแอ คิดว่าต้นทุนการผลิต Content ที่สูงของ WORK ให้แนวโน้มที่ไม่ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง 65 จึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2565 ลง 58% มาอยู่ที่ 156 ลบ. ลดลง 53% จากปี 64 และปรับลดคำแนะนำเป็น REDUCE ที่ราคาเป้าหมายใหม่ในปี 2566 ที่ 16.30 บาท
.
.
ส่วนราคาหุ้น WORK ปิดที่ 18.70 บ. ลดลง 16.89% จากราคาปิดสิ้นปี 2564 ที่ 22.50 บ. ซึ่งทำให้มาร์เก็ตแคปลดลงมาเหลือ 8,257 ลบ. จากมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 64 ที่ 9,935 ลบ.
.
.
บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 30 พ.ย. 2560 และเข้าดำเนินการบริหารช่อง JKN 18 หรือเดิมคือช่อง New 18 ตั้งแต่เมษายน 2564 และในงวดครึ่งปีแรก 65 รายงานกำไรสุทธิ 76 ลบ. ลดลง 52 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 160 ลบ. ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินและการออกจำหน่ายหุ้นกู้เพื่อใช้ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ในระหว่างปี 2564
.
.
ส่วนผลประกอบการของ JKN ย้อนหลัง 4 ปี ในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 228 ลบ. และในปี 2562 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 252 ลบ. ขณะที่ในปี 2563 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิดในไทย JKN มีกำไร 312 ลบ. แต่ในปี 2564 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 179 ลบ. ซึ่งบทวิเคราะห์ของบล.ฟิลลิป คาดปี 2565 มีกำไรสุทธิ 203 ลบ. จากรายได้ที่โตขึ้นจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น ปรับการอิง P/E จากเดิม 17 เท่า ลงมา 15 เท่า ตามกำไรที่ต่ำกว่าในอดีตและสินค้าใหม่อาจไม่เป็นไปตามคาด รวมถึงจำนวนหุ้นเพิ่มทุนจากการแปลงสภาพหุ้นกู้ที่เข้ามาต่อเนื่อง ราคาพื้นฐานปี 2566 อยู่ที่ 4.16 บาท ลดคำแนะนำลงเป็น "ขาย"
.
.
ราคาหุ้น JKN เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565 อยู่ที่ 4.12 บ. ลดลง 49.14% เมื่อเทียบราคาปิดสิ้นปี 2564 ที่ 8.10 บ. ซึ่งทำให้มาร์เก็ตแคปลดลงมาเหลือ 2,896 ลบ. จากมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 64 ที่ 4,920ลบ.
.
.
สำหรับอันดับเรตติ้งของ 4 หุ้นสื่อบันเทิง จากรายงานเรตติ้งทีวีดิจิทัล ของ สื่อออนไลน์ TV Digital Watch ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากนีลเส็น เปิดเผยเรทติ้งประจำสัปดาห์ของทีวีดิจิทัลในรอบ 5-11 ก.ย.65 ทั้งหมด 18 อันดับ พบว่า ช่อง 3 HD มีเรทติ้งอยู่ในอันดับ 2 ตามด้วยช่องวัน 31 มีเรทติ้งอยู่ในอันดับ 3 และช่องเวิร์คพอยท์ มีเรทติ้งอยู่ในอันดับ 5 ส่วน JKN18 มีเรทติ้งอยู่ในอันดับ 14
.
.
