นโยบายการเงินไทย กับการรับมือระเบียบโลกใหม่ | Global Vision
By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัว 3.1% เท่ากับที่ผู้เขียนคาด ผลจากการเร่งนำเข้าสินค้าจากประเทศปลายทางก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้
โดยการส่งออกสินค้าขยายตัวถึง 13.8% และการลงทุนภาครัฐขยายตัว 26.3% อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ทั้งปี 2568 เหลือเพียง 1.8% จากเดิมที่คาดไว้ 2.8% เนื่องจากความไม่แน่นอนจากมาตรการการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐ ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอลงมาก แต่ทางการยังคงเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลัง โดยในส่วนของนโยบายการคลัง แทนที่ภาครัฐจะมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว กลับเป็นการออก Soft Loan วงเงิน 1 แสนล้านบาทที่เน้นรักษาสภาพคล่องมากกว่าสร้างการลงทุนใหม่
ขณะที่มาตรการระยะสั้นที่จำเป็น เช่น โครงการกระจายเงินสู่ชนบท การลงทุนบริหารจัดการน้ำ การฟื้นฟูการท่องเที่ยว หรือแม้แต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จำเป็น ไม่ปรากฏในนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่ในฝั่งนโยบายการเงิน แม้หลายฝ่ายมองว่าประเทศไทยควรใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว แต่ในความเป็นจริง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลับเลือกลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อรักษา “Policy Space” แม้เงินเฟ้อที่ ธปท. คาดการณ์จะต่ำกว่าเป้าหมาย (0.5% ในปี 2568) อย่างมาก
ในช่วงที่ผ่านมา ภาวะการเงินของไทยยังคงตึงตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะลดดอกเบี้ย สะท้อนจากดัชนีภาวะการเงิน (Financial Condition Index) ที่ตึงตัว การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 7 ปี และการหดตัวของสินเชื่อที่ -0.2%
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมขั้นต่ำ (MLR) ที่ 6.83% ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 12 ปี เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออก นโยบายการเงินไทยตึงตัวกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1-3% มาต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา การส่งผ่านนโยบายการเงินในระบบยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แม้ว่าปัญหาอยู่ที่ “Credit Cost” หรือต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ แต่ในอีกทางหนึ่ง เป็นการบ่งชี้ว่า อัตราการหมุนของเงิน (Money velocity) ต่ำลง ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวทำได้ด้วยการอัดฉีดเงินให้มากขึ้นตามสมการ MV = PY
โดย M คือปริมาณเงิน V คือการหมุนของเงิน (ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.7 รอบ ต่ำกว่าคาดเฉลี่ยในอดีตที่ 1.1-1.5 รอบ) P คือเงินเฟ้อ (ที่ปัจจุบันติดลบ -0.2%) และ Y คือ GDP หรือการเติบโตของเศรษฐกิจ (ที่ต่ำกว่าศักยภาพที่เกือบ 3% มาโดยตลอด)
ดังนั้น ทางแก้คือ ผู้กำหนดนโยบายจะต้องทำการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่สหรัฐทำเมื่อเกิดวิกฤติ
ขณะที่ในช่วงปี 2555–2567 ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของปริมาณเงิน (M2) เฉลี่ยเพียง 5.3% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่นและฮ่องกง) และต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาคที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน เช่น เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งมีอัตราการเติบโตของ M2 อยู่ในช่วง 9–15% ต่อปี
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวการขยายตัวของปริมาณเงินในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง อาจสะท้อนถึง กรอบนโยบายการเงินที่ค่อนข้างเข้มงวด และสภาวะอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเป็นเวลานาน ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาค
ปรากฏการณ์นี้อาจส่งผลเชิงลบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม
จากการศึกษาเชิงสถิติ พบว่า การเติบโตของปริมาณเงิน มีความสัมพันธ์กับการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ค่าเงิน และการส่งออกอย่างชัดเจน โดยประเทศที่ปริมาณเงินขยายตัวดี เช่น เวียดนาม (15.3% ต่อปี) มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะขยายตัวดี (6.1%) เงินเฟ้อสูงปานกลาง (6.1%) ค่าเงินอ่อนค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป (1.4%) และการส่งออกดี (11.9%)
ขณะที่ประเทศที่ปริมาณเงินขยายตัวค่อนข้างต่ำเช่น ไทย (5.3%) เศรษฐกิจจะเติบโตค่อนข้างต่ำ (2.4%) เงินเฟ้อต่ำ (1.3%) ค่าเงินค่อนข้างแข็ง (0.7%) และส่งออกโตต่ำ (3.0%)
ทั้งนี้ การศึกษามีข้อยกเว้นในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ที่ปริมาณเงิน เศรษฐกิจ เงินเฟ้อและส่งออกโตต่ำ แต่ค่าเงินอ่อนค่ามาก เนื่องจากญี่ปุ่นคงดอกเบี้ยที่ 0% ยาวนาน แต่เพราะสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินในช่วงหลังอ่อนค่ารุนแรง เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นระยะหลัง และเศรษฐกิจฟื้นตัว
ดังนั้น ในการที่จะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจจากสงครามการค้าที่จะรุนแรงขึ้นนั้น นอกจากภาครัฐจะต้องทำนโยบายการคลังขนานใหญ่แล้ว ภาคการเงินจึงควรผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อกลับมาสู่เป้าหมาย เงินบาทเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม และการส่งออกกลับมาเริ่มปรับตัวดีขึ้นได้
นอกจากนั้น ในระยะต่อไป ความเสี่ยงเงินฝืดที่สูงขึ้นในไทย จากการส่งออกเงินฝืดจากจีน (Deflation export) โดยสินค้าจีนกำลังไหลทะลักเข้าไทยในอัตราที่สูงมาก โดยการส่งออกจากจีนไปไทยเติบโตถึง 28.1% สวนทางกับการส่งออกไปยังสหรัฐที่ลดลงถึง 21%
สะท้อนการเปลี่ยนทิศทางของสินค้าจีนหลังจากถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐมาสู่ตลาดเอเชียมากขึ้น ส่งผลกดดันราคาสินค้าในประเทศและทำให้เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทางแก้ก็คือการดำเนินนโยบายการเงินแบบเชิงรุก ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นสภาพคล่องในระบบเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
อีกบทบาทหนึ่งของนโยบายการเงินคือ การสนับสนุนนโยบายการคลัง โดยหากรัฐบาลต้องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจเกิดปรากฏการณ์ “Crowding out” หรือการแย่งสภาพคล่องจากภาคเอกชน เนื่องจากสภาพคล่องในระบบมีจำกัด

ดังนั้น ธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ “Crowding in” คือการที่การลงทุนของภาครัฐกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนตามมา แทนที่จะดึงเม็ดเงินออกจากระบบ
ในระยะต่อไป ภาคการผลิตไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากผลกระทบของสงครามการค้า หากไทยสามารถปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับความท้าทายในยุคระเบียบโลกใหม่ ควบคู่กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างเหมาะสม จะไม่เพียงช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าในระยะสั้น แต่ยังสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
แต่หากนโยบายการเงินยังคงตึงตัวเกินไปและขาดการประสานงานกับนโยบายการคลัง เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568
(บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่)
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1181126