ห้องเม่าปีกเหล็ก

ผ่าแผนมาสเตอร์เชฟฯ

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
242 views

ผ่าแผนมาสเตอร์เชฟฯ แปรรูปคอนเทนต์เป็นสินค้าทำเงิน

 

บิ๊กบอส H Group “กิติกร เพ็ญโรจน์” ไขไอเดียกลยุทธ์ปั้นคอนเทนต์ทำเงิน หลัง 2 ราย การดัง “Master chef Thailand,Iron chef Thailand” กวาดเรตติ้งติดท็อปชาร์ต เล็งต่อยอดเป็นข้าวกล่องขายในเซเว่นฯ/cooking class/food event/ Fan Meet FC กระทบไหล่เชฟคนดัง 

การก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัลของไทยในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความท้าทายบนถนนสายคอนเทนต์และผู้ประกอบการช่องทีวีในตลาดอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากจะต้องแข่งขันกับผู้เล่นในตลาดที่มากขึ้น จำนวนช่องมากขึ้นย่อมส่งผลให้ผู้ชมมีทางเลือกในการรับชมมากขึ้นเช่นกัน ทำให้หลายผู้ประกอบการคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่ต่างเร่งปรับทัพนโยบายเชิงธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันที่มีมากขึ้น เพื่อช่วงชิงช่วงเวลาออกอากาศ ฐานผู้ชม เพื่อไม่ให้แบรนด์หรือราย การหลุดจากผังออกอากาศ โดยเฉพาะการช่วงชิงเม็ดเงินโฆษณาที่ยังคงมีมูลค่าเท่าเดิม แต่ทว่าจำนวนผู้เล่นกลับมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “กิติกร เพ็ญโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด หรือ H GROUP หนึ่งในผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จในอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่หากเอ่ยถึงรายการ Master chef Thailand , Iron chef Thailand เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักดี เพราะรั้งเรตติ้งอันดับ 1 ต่อเนื่อง

เปิดยุทธศาสตร์บุกตลาดคอนเทนต์

“กิติกร” บอกว่า หัวใจหลักของการทำงานคือการใช้ความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์รายการขนาดใหญ่ที่โดดเด่นเพื่อให้แบรนด์มีความแตกต่างในแง่คอนเทนต์ทีวีและประสบผลสำเร็จได้ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นรายการรูปแบบไหน ทั้ง เกมโชว์ ร้องเพลง แต่ทุกๆ รายการต้องเป็นสเกลใหญ่ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปแบบของรายการเพลง แต่พอเกิดมีทีวีดิจิทัลขึ้นในเมืองไทย สิ่งที่ต้องกลับมามองคือตลาดจากเดิมที่ตลาดมีอยู่ 4-5 ช่องหลัก กลายเป็นผู้ผลิตเกิดขึ้นมากมายเพื่อป้อนช่องทีวีที่หลากหลายขึ้น จึงจำเป็นต้องโฟกัสบริษัทให้มีจุดแตกต่างจากผู้เล่นอื่น กล่าวคือ รูปแบบรายการจะยังอยู่บนพื้นฐานของบิ๊กโปรดักชันอยู่แต่จะโฟกัสรูปแบบรายการมาที่อาหาร (Food) เพราะว่าถ้าดูในอดีตรายการอาหารส่วนใหญ่จะเป็นรายการเล็ก ไม่ว่าจะเป็นรายการพาชิม สอนทำอาหาร ใช้สตูดิโอเล็กๆ หรือรายการขับรถเที่ยวไปชิมไป ในขณะที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาดหันมาทำโปรดักชันขนาดเล็กเพื่อลดต้นทุนการแข่งขัน

“ความต้องการในธุรกิจอาหารมีสูงมาก ไม่ต่างจากกลุ่มคอสเมติกหรือคอนซูเมอร์โปร ดักต์ จึงมองตรงนี้เป็นช่องว่างการตลาด และเล็งเห็นว่าในเมื่อในไทยยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ทำรายการบิ๊กโปรดักชันที่เกี่ยวกับฟู้ด ต่อยอดมายังรายการอาหาร โดยเริ่มจากรายการเชฟกระทะเหล็ก จนลูกค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจอาหารเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับรายการเชฟกระทะเหล็กจำนวนมาก เนื่องจากตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดทำให้รายการประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จากนั้นจึงมารายการ Master chef Thailand ที่เน้นเจาะกลุ่มผู้ชมรายการธรรมดาที่ไม่ได้เป็นเชฟหรือกลุ่มคนทั่วไป ตามมาด้วยการต่อยอดไปยังกลุ่มเด็ก 8-13 ปี คือรายการ MasterChef Junior Thailand ซึ่งถือว่าครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการรับชมรายการที่เกี่ยวกับอาหาร นั่นจึงเป็นที่มาของรูปแบบการดำเนินงานของบริษัท โดยเตรียมเปิดตัวรายการต่อไปคือ The Next Iron Chef ซึ่งถือเป็นรายการทำอาหารเรียลลิตีเต็มรูปแบบที่เอาเชฟระดับมืออาชีพมาแข่งขันกันภายในรายการ และผู้ชนะจะได้เป็นเชฟกระทะเหล็กในรายการ Master chef Thailand นั่นคือคีย์ซักเซสในการสร้างความสำเร็จและการสร้างจุดยืนในรายการอาหารของบริษัทในการเป็น Food Content”

 

 ต่อยอด 6 ขาธุรกิจ

“กิติกร” ยํ้าว่า นโยบายหลักในการดำเนินธุรกิจก็ยังคงยึดหัวหาดความเป็นฟู้ด แต่จะให้ความสำคัญกับ 6 ด้านในการสร้างการเติบโตระยะยาว ได้แก่ 1. การพัฒนาและซื้อไลเซนส์คอนเทนต์เพื่อป้อนช่องทีวีอย่างต่อเนื่อง 2. การพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อป้อนในช่องทางที่หลากหลายขึ้น ทั้งโซเชียลมีเดีย อย่างยูทูบ ในการพัฒนา Cooking Content ต่างๆ 3.ขยายธุรกิจด้านอื่นๆที่ต่อยอดจากรายการ อาทิ รายการเชฟกระทะเหล็ก ด้วยการส่ง 12 เมนู ข้าวกล่องพร้อมทาน วางจำหน่ายในช่องทางเซเว่นอีเลฟ เว่นตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก่อนจะพัฒนาเพิ่มเป็น 15 เมนูในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในราคาที่จับต้องได้ตั้งแต่ 40 บาท ทั้งเมนูคาวหวาน 4. เปิดสอนการทำอาหาร cooking class ซึ่งเป็นเมนูจากรายการทำอาหารในเครือ ทั้งเชฟกระทะเหล็ก มาสเตอร์เชฟ มาสอนผู้ที่สนใจ 5. จัด “Fan Meet Fc” ให้แฟนคลับของรายการ 1,000 คนได้มีโอกาสพบปะเชฟชื่อดังจากรายการ 6. จัดงาน Food Event ในรูปแบบ Theme Park หรือ Food Festival รวมเอาเชฟจากรายการมาสเตอร์เชฟและไอรอนเชฟทุกซีซันมาร่วมงานในต้นปี 2563

 

 

“การลดต้นทุนหรือการเซฟโปรดักชันให้อยู่ได้ก็เหมือนการค่อยๆ ขุดหลุมฝังตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงคุณภาพของรายการที่จะตกลงไปเรื่อยๆ และส่งผลให้คนดูน้อยลง ซึ่งจะทำให้เรตติ้งที่ตํ่าอยู่แล้วยิ่งลดน้อยลงไปอีก ดังนั้นสิ่งที่เราคิดคือในเมื่อทุกคนพยายามลดคอสต์ แต่ทำอย่างไรเราถึงจะแตกต่าง จึงเกิดเป็นการทำรายการแบบสเกลใหญ่และการต่อยอดธุรกิจขึ้นมา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างเสี่ยงพอสมควรในการทำธุรกิจยุคนี้ แต่นั่นคือทางรอดของคนทำคอนเทนต์ในปัจจุบัน ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยสังเกตได้จากรายการมาสเตอร์เชฟที่เรตติ้งแตะหลัก 6-7 เรตติ้งมาโดยตลอด โดยปัจจุบันกำไรที่มาจากเม็ดเงินโฆษณาของรายการเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ต่อรายการ ซึ่งสปอนเซอร์จะให้ความสนใจทันทีโดยไม่ต้องรอเรตติ้งรายการ”

 

 
 ทุ่ม 350 ล้านผลิตคอนเทนต์

สำหรับในปีนี้บริษัทใช้งบลงทุนราว 350 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ รายการ Master chef Thailand ลงทุน 70 ล้านบาทต่อการออกอากาศ 17 ตอน หรือคิดเป็นการลงทุน 4 ล้านบาทต่อตอน ในขณะที่รายการทั่วไปส่วนใหญ่ลงทุนไม่เกิน 1.5- 2 ล้านบาทต่อตอน หรือ 50% ของการลงทุนทั้งรายการทั้งหมด ซึ่งเหตุผลของการลงทุนบนสเกลใหญ่นี้เนื่องจากมีช่องว่างทางการตลาดและการเติบโต ซึ่งรายการอาหารแบบสเกลใหญ่ในเมืองไทยยังไม่มี แต่ขณะเดียวกันกลุ่มสปอนเซอร์หรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในธุรกิจอาหารกลับมีสูงมากในไทย โดยปีนี้เตรียมส่ง 6 รายการรุกตลาดต่อเนื่อง แบ่งเป็นรายการ มาสเตอร์ เชฟ 3 รายการ คือเชฟกระทะเหล็ก 2 รายการ และรายการใหม่อีก 1 รายการ

“ในขั้นตอนการผลิตรายการใหญ่ 1 รายการแบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นค่าออกอากาศ (Air Time) และโปรดักชัน 90% ขณะที่อีก 10% เป็นเรื่องของไลเซนส์หรือลิขสิทธิ์ ดังนั้นคำถามจึงอยู่ที่ว่าเราจะยอมจ่ายเพิ่มอีก 10% เพื่อค่าลิขสิทธิ์ซึ่งจะได้มาพร้อมในแง่ของแบรนดิ้งที่คนรู้จัก การเป็นมาตรฐานรายการระดับโลกหรือไม่ คำตอบของเราคือเป็นการลงทุนที่เหมาะสมและรองรับการแข่งขันได้”

ด้านร้านอาหารเชฟกระทะเหล็ก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต่อยอดจากรายการเชฟกระทะเหล็กไทยแลนด์และได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเปิดให้บริการ 2 สาขาไปแล้วนั้น ล่าสุดบริษัทได้เตรียมปรับทิศทางการดำเนินงานใหม่ ด้วยการปิดทั้ง 2 สาขาและย้ายมาให้บริการในย่านเอกมัยเพียงสาขาเดียว เบื้องต้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องพื้นที่ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในต้นปีหน้าภายใต้งบประมาณการลงทุน 15-18 ล้านบาท

โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 20% แบ่งเป็น รายการทีวี 12% การต่อยอดธุรกิจจากรายการทีวี 8% โดยที่ซื้อไลเซนส์รายการจากต่างประเทศ 80% และพัฒนาเอง 20% ขณะที่รูปแบบรายการแบ่งเป็นกลุ่มฟู้ด 70% และ วาไรตี 30% 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree