จากแผน Power Developemt Plan ปี ค.ศ 2015 หรือ PDP 2015 รัฐบาลไทยได้กําหนดให้มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก 18% ให้เป็น 25% ภายในระยะเวลา 20 ปี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานต่อประเทศไทยในระยะยาว
จากแผน PDP 2015 ไํด้กําหนดให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจํานวนทั้งสิ้น 6 โรง มีกําลังการผลิตกระแสไฟฟ้าทังสิ้น 4,500 MW. และใช้ถ่านหินนําเข้าทั้งสิ้น 20 ล้านตัน ต่อ ปี
โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เป็นโรงไฟฟ้าขนาด 800 MW. และเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินโรงแรกที่บรรจุไว้ในแผนนี้ แต่เนื่องจากมีการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ โครงการนี้ก็เลยต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 3 ปี เพื่อจัดทํา EHIA ใหม่หมดตั้งแต่ต้น
โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เป็นโรงไฟฟ้าขนาด 1,000 MW. จํานวน 2 Units รวมจํานวน MW. ทั้งสิ้น 2,000 MW. ใช้ถ่านหินนําเข้าทั้งสิ้น 6.7 ล้านตัน ต่อ ปี ถ้าจะลองเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลําปาง แล้วจะเห็นว่า โรงไฟฟ้าแม่เมาะมีกําลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 2,600 MW. แต่ใช้ถ่านหินมากถึง 16 ล่้านตันต่อ ปี ทั้งนี้เนื่องมาจากถ่านหินทีใช้ในโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เป็นถ่านหิน ลิกไนต์ ซึ่งเป็นถ่านหินคุณภาพตํา ค่าความร้อนตํ่า ปริมาณขี้เถ้าและค่ากํามะถันสูง ซึ่งนอกจากจะใช้ถ่านหินเป็นปริมาณมากในการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว ยังมีปํญหาเรืองมลภาวะตามมาด้วย ส่วนถ่านหินนําเข้า โดยเฉพาะจากประเทศอินโดนีเซีย เป็นถ่านหิน ซับบิทูมินัส และ บิทูมินัส ซึ่งเป็นถ่านหินคุณภาพสูง ค่าความร้อนสูง ปริมาณขี้เถ้าและค่ากํามะถันตํ่า ซึ่งทําให้ใช้ถ่านหินนัอยลงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในขณะเดียวกันปํญหาเรืองมลภาวะก็น้อยลงเพราะปริมาณขี้เถ้าและกํามะถันตํ่า
โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ได้รับการอนุมัติ EHIA เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเดินหน้าโครงการนี้ เนื่องจากประชาชนในพ์้นที่เห็นด้วยและรัฐบาลก็ไห้การสนับสนุน ถ้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ไม่ติดขัดอะไรที่จะทําไห้โครงการล่าช้าอีกต่อไป ไฟฟ้าที่จะเข้าระบบได้น่าจะเป็นใน ปี พ.ศ 2564/2565 ซึ่งเป็นการล่าช้าจากแผนเดิม 1 ปี