ห้องเม่าปีกเหล็ก

Trump effect

โดย OttO
เผยแพร่ :
71 views

Trump effect กับแรงกระเพิ่อมเงินไหลเข้าออกทั่วโลก

 

 

 

เกาะติดปรากฏการณ์ “Trump effect” หลังมีท่าทีชัดเจนของผู้นำใหม่สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงการค้า TPP และการจัดการกับประเทศคู่ค้าที่ละเมิดข้อตกลงการค้า  ปัจจัยนี้และที่กำลังทยอยเกิดขึ้นกำลังเป็นตัวแปรประกอบการตัดสินใจเลือกหุ้นเพื่อจัดวางพอร์ตในการรับมือ โดยเฉพาะ Fund Flow ที่จะไหลเข้าออกภูมิภาคแถบนี้

 

ปรากฏการณ์ “Trump effect” มีแนวโน้มสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ยังไม่ได้เห็นชัดเจน 100% ว่านโยบายที่เขาเคยหาเสียงไว้ จะออกมาหน้าตาแบบไหน

 

แต่มุมมองฟันด์แมเนเจอร์ บลจ.กสิกรไทย (KAsset) ประเมินว่าในระยะสั้น คงต้องจับตาทิศทาง Fund Flow ในช่วง 100 วันแรกของการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”  ซึ่งในระหว่างที่ตลาดยังขาดความเชื่อมั่นอยู่นี้ ทาง KAsset คาดว่ากระแส Fund Flow อาจจะยังไม่ไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว เพราะเชื่อว่านักลงทุนคงอยู่ระหว่างติดตามนโยบายของ “ทรัมป์” ที่จะค่อยๆ ทยอยเปิดเผยรายละเอียดออกมา

 

แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนตัวมองว่ามีความเป็นไปได้ว่าหลายๆ นโยบายที่เขาเคยหาเสียงไว้ สุดท้ายแล้วจะสามารถหาทางสานต่อได้อย่างแน่นอน แต่ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่าจะทำได้รวดเร็วแค่ไหน

 

ในประเด็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นอีกความเสี่ยงที่ KAsset ให้น้ำหนักว่าอาจจะมีผลต่อ  Fund Flow ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะหากขยับดอกเบี้ยในรอบนี้ เร็วและแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

 

ส่วนผลกระทบต่อไทย หาก”ทรัมป์” ดำเนินนโยบายจริง โดยเฉพาะนโยบายที่เป็นความเสี่ยงอย่างการกีดกันทางการค้า ในมุมมองของ KAsset เชื่อว่าในประเด็นนี้ อาจจะมีผลบ้างต่อหุ้นในกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกอย่างอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องติดตามนโยบายด้วยว่า ท้ายที่สุดแล้วจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือมีความเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งภาพในระยะสั้น เชื่อว่าจะยังไม่มีผลกระทบอะไรที่เป็นนัยสำคัญ

 

ด้านปัจจัยในประเทศ KAsset ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ยังดูดี จากการเร่งใช้จ่ายเงินของภาครัฐและเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมไปถึงการบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามรายได้ภาคเกษตรที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง

 

ในมุมมองของ KAsset ยังคงเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีไว้ที่ 1,690 จุด ภายใต้ P/E ที่ระดับ 15.5 เท่า และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะเติบโต 10-12%

 

ขณะที่กลยุทธ์ลงทุน ยังคงให้น้ำหนักการเลือกหุ้นรายตัวเป็น หลัก โดยเฉพาะหุ้น “Growth” ที่มีรายได้และผลกำไรเติบโตโดดเด่น ควบคู่ไปกับระดับราคาที่เหมาะสมด้วย

 

ส่วนหุ้นกลุ่มไหนจะสร้างรีเทิร์นได้โดดเด่นในปีนี้ ระหว่าง “Big cap” หรือ “Mid-small cap” ทาง KAsset มองว่า ทั้ง 2 กลุ่มมีปัจจัยเฉพาะตัวค่อนข้างสูง เพราะอย่าง Mid-small cap ราคาบวกขึ้นมาพอสมควรแล้วจากปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องเฟ้นหาหุ้นที่ยังเห็นการเติบโตอย่างชัดเจน

 

ส่วน “Big cap” หากจะคาดหวัง Fund Flow เข้ามาไล่ซื้อ ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะสัญญาณการโยกย้ายเงินในปีนี้ ไม่ได้เข้าเร็วออกเร็ว แต่ก็เชื่อว่าหุ้นขนาดใหญ่ น่าจะไปได้ในตัวพื้นฐานมากกว่า อย่างเช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ผลประกอบการน่าจะสดใสกว่าปีที่ผ่านมา จากราคาน้ำมันที่เป็นขาขึ้น  หรือหุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่คาดว่าครึ่งปีหลัง น่าจะกลับมาโดดเด่น จากตัวเลข NPL และภาระการตั้งสำรองฯ ที่คาดว่าจะเริ่มลดลงแล้ว

 

**********************************

ทีม Business & Finance , Money Channel


OttO