ห้องเม่าปีกเหล็ก

รู้จัก Valeant Pharmaceuticals หุ้น "ปราบเซียน" ที่ ดร.นิเวศน์ พูดถึง

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
64 views

 

ถ้าใครได้อ่านบทความล่าสุดของ ดร.นิเวศน์ คงจะได้ยินเรื่องราวของหุ้นปราบเซียนที่ ดร. พูดถึงกันไปแล้ว นั้นคือบริษัท Valeant Pharmaceuticals หุ้นโตเร็วที่ปราบเซียน VI อย่าง Bill Ackman ผู้บริหารกองทุนระดับโลกมาแล้ว

อ่านบทความได้ที่นี้ : หุ้นปราบเซียน / โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บริษัทแวเลี้ยนท์ก่อตั้งขึ้นในปี 1959 ที่อเมริกา แต่เดิมนั้นเป็นบริษัทผลิตยาเฉพาะด้านโดยเฉพาะทางด้านสายตา และประสาทในร่างกาย รวมถึงฝ่ายวิจัยเพื่อพัฒนาอาหารเสริมทางด้านสายตา บริษัทนี้เป็นบริษัทธรรมดาที่เติบโตอย่างช้าๆ และใช้เวลากว่า 40 ปี ในการจะปั้น IPO เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์ค บริษัทถูกขายเข้าตลาดในปี 1994

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ J. Michael Pearson
Michael Pearson ราชานักเทคโอเวอร์ ผู้ที่ทำให้แวเลียนท์เป็นหุ้น 20 เด้งใน 5 ปี
ที่มาภาพ : The Irish Times

การเข้าตลาดหุ้นนั้นหมายถึงบริษัทได้ก้าวเข้ามาเป็นมหาชนเรียบร้อย และจะดำเนินธุรกิจ "แบบเต่า" ไม่ได้อีกต่อไป บริษัทมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารคนใหม่ คือ J. Michael Pearson มานั่งต่ำแหน่ง CEO และเป้าหมายของไมเคิลอันดับแรก คือ "Growth" เพื่อตอบสนองกับนักลงทุน .. บริษัทได้เข้าซื้อกิจการเป็นจำนวนมาก เช่น
- Bausch & Lomb บริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ของโลก
- Salix Pharmaceuticals
- การพยายามเข้าซื้อแบบไม่เป็นมิตรกับบริษัท Actavis, Cephalon และ Allergan
- บริษัทสัญชาติสวีเดน Meda AB เพื่อขยายตลาดไปยังยุโรปตะวันตก และเข้าซื้อ Coria Laboratories ในเวลาไล่เลี่ยกัน และอีก 2 เดือนต่อมา บริษัทเข้าซื้อ DermaTech
- เข้าซื้อบริษัท Dow Pharmaceutical Sciences บริษัทผลิตยาที่อยู่คู่กับตลาดหุ้นนิวยอร์คมาอย่างนวน ต่อมาไม่นานก็เข้าซื้อบริษัท Tecnofarma
- การขยายตลาดเข้าสู่อเมริกาใต้ โดยเข้าซื้อบริษัทผลิตยาแห่นหนึ่งในประเทศบราซิล
และอีกมากมาย ที่ยังไม่ได้พูดถึง ...

บริษัทใหญ่โตขึ้นมากจากการเข้าซื้อกิจการ และตัวไมเคิลก็รู้ดีว่าจะบริหารงานแบบเดิมๆไม่ได้ จำเป็นต้อง "ล้าง" และใช้เวลา "ย่อย" กับสิ่งที่ซื้อมา บริษัทขอเปลี่ยนสัญชาติจากอเมริกามาเป็นสัญชาติแคนาดา แต่ยังขอซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ค ในงานประชุมผู้ถือหุ้น มีนักลงทุนจำนวนมากถามว่าบริษัทมีแนวทางต่อไปอย่างไร กับการซื้อกิจการจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา .. ซึ่งทางไมเคิลเองก็ตอบนักลงทุนว่า เพื่อการเติบโตที่มีคุณภาพ เราจำเป็นต้องมีเวลาในการย่อยกับสิ่งที่เรากินเข้าไป

นักลงทุนและนักวิเคราะห์ใน Wall Stret ต่างคิดกันว่าแวเลี้ยนท์ไม่น่าจะซื้อกิจการอีก แต่ดูเหมือนจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น บริษัทได้เข้าซื้อ PharmaSwiss S.A, Cephalon, Ortho Dermatologics, Sanitas Group, iNova Pharmaceuticals และอีกมากมาย จนสื่อขนานนามว่า J. Michael Pearson คือ "ราชา" นักซื้อกิจการตัวจริง ว่ากันว่าเขาใช้งบลงทุนในการซื้อกิจการมากกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การเข้าซื้อกิจการอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้บริษัทผลิตยาหลายบริษัทหวาดกลัวว่าจะโดนซื้อกิจการ บางบริษัทขอเพิกถอนกิจการออกจากตลาดหลักทรัพย์แคนาดา บางบริษัทขอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยเพื่อให้ตัวเองถือหุ้นส่วนใหญ่และไม่เปิดโอกาสให้แวเลี้ยนท์เข้าควบคุมบริษัท

 

ราคาหุ้น Valeant Pharmaceuticals ย้อนหลัง 10 ปี
ที่มาภาพ : finance.yahoo.com

ในด้านผลประกอบการแล้วแวเลี้ยนท์ ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ละไตรมาสเติบโตแบบก้าวกระโดด ราคาหุ้นวิ่งแบบบ้าคลั่งจนสื่อมีฉายาเรียกบริษัทแวเลี้ยนท์ ว่า "life-saving medicines" หุ้นผลิตยาที่นักลงทุนทุกคนควรฝากชีวิตไว้กับหุ้นตัวนี้ ด้วยราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นสร้างเศรษฐีชั่วข้ามคืน ดร.นิเวศน์กล่าวว่า เป็นหุ้น 20 เด้ง ใน 5 ปี ... บางสื่อถึงกับขนานนามว่าแวเลี้ยนท์ คือเบิร์กไซด์ฮาธาเวย์ "ตัวต่อไป"

อะไรก็ตามที่ถูกยกย่องว่า "ตัวต่อไป" เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักในตลาดหุ้น ...

หลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้ว ทำให้แวเลี้ยนท์ควบคุมตลาดยาเบ็ดเสร็จเพราะเขาคือรายใหญ่ บริษัทประกาศขึ้นราคายาในเครือของแวเลี้ยนท์ทั้งหมด 66% และตัวยาที่สำคัญ เช่นยาที่ช่วยการขยายหลอดเลือดเพิ่มราคาถึง 212% ตัวยาที่ช่วยลดการเต้นของหัวใจก็เพิ่มราคาสูงถึง 525% .. การขึ้นราคาสุดโหดของแวเลี้ยนท์ทำให้สื่อไม่พอใจ เขียนข่าวโจมตีบริษัทแวเลี้ยนท์กันอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนบริษัทจะไม่สนใจกลับประกาศขึ้นราคายา Glumetza อีก 800% !!

ไม่เพียงแต่การขึ้นราคายา แต่บริษัทยังปรับลดพนักงานออก ลดงบประมาณเพื่อการวิจัยออก ไม่จ้างนักวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ขององค์กรโดยเปลี่ยนจากบริษัทเพื่อการผลิตยามาเป็นเทรดดิ้งเพื่อการค้าอย่างเต็มตัว จนนิตยสาร New York Times เขียนบทความโจมตีแวเลี้ยนท์ว่าแผนการครั้งนี้ได้มีการวางแผนมานานแล้วนับ 10 ปี เรียกได้ว่าเป็นความฉลาดของไมเคิลโดยมีผู้บริโภคเป็นเหยื่อ ... แต่ในตลาดหุ้นใครจะสน คนในวอลสตรีทสนใจแค่หุ้นขึ้นมากแค่ไหน และกำไรจะออกมาดีตามที่คาดหรือไม่

ต้องยอมรับว่าการที่หุ้นแวเลี้ยนท์ขึ้นมาขนาดนี้ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันเข้าซื้อ และหนึ่งในนั้น คือ Bill Ackman ผู้จัดการกองทุน Pershing Square Capital Management ติดผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมถึงกองทุน Viking Global Investors ก็เข้าซื้ออย่างหนัก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Bill AckmanBill Ackman
ที่มาภาพ : Wall Street Journal

ตำรวจมักจะมาตอนจบ ประชาชนเดือดร้อนจากค่ายาที่แพงขึ้น ร้อนถึงหน่วยงานของภาครัฐเข้ามาตรวจสอบแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะบริษัทอ้างว่าเป็นไปตามกลไกตลาด และทางแวเลี้ยนท์เองก็ไม่ได้ควบคุมตลาดยาแบบเบ็ดเสร็จ ต่อมาหน่วยงาน Federal Trade Commission ฟ้องแวเลี้ยนท์ว่าเป็นผู้ควบคุมสารผลิตยาตั้งต้นแบบเบ็ดเสร็จและกินรวบทั้งตลาดทำให้ยาแพงขึ้น ประเด็นเรื่องยาแพงขึ้นนั้นเปิดโอกาสให้นักการเมืองอย่างฮิลราลี่ คลินตัน ใช้หาเสียง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงบริษัทแวเลี้ยนท์ แต่เขาก็ทวิตในโซเชียลมีเดียว่าเรื่องยาที่แพงขึ้น เขามีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างแน่นอน .. เสียดายที่เขาไม่ได้รับเลือกไม่งั้นเราคงได้เห็นว่าจะแก้ปัญหาได้จริงไหม ?

ไมเคิลเริ่มมีชื่อเสียงที่เสียหาย ทำให้บอร์ดเริ่มไม่ไว้ใจประกอบกับราคาหุ้นแวเลี้ยนท์ก็ไหลลงมาตลอดทาง นักลงทุนเริ่มไม่พอใจ เรียกร้องให้ไมเคิลลาออกจาก CEO และตั้ง Joseph Papa ขึ้นมาเป็นผู้บริหารแทน .. โจเซฟบอกกับสื่อมวลชนว่าจะ "ล้าง" บริษัทครั้งใหญ่ โดยการลดหนี้ และจะให้บริษัทกลับมาเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป (Organic growth)

โจเซฟเริ่มขายบริษัทลูกออกไป เช่น เครื่องสำอางค์ L'Oréal บริษัทผลิตยาอีกหลายบริษัท รวมถึง iNova Pharmaceuticals ที่พึ่งซื้อมาได้ไม่นาน แต่การปรับลดครั้งนี้ทำให้รายได้ของบริษัทหดหายไป ราคาหุ้นยิ่งตกหนักเข้าไปอีก กองทุนเทขายหุ้นรวมถึงกองุทนของบิล แอคแมน ก็ตัดขายขาดทุนไป 3 พันล้านเหรียญ นักวิเคราะห์วอลสตรีทเริ่มแนะนำขาย นักลงทุนรายย่อยไม่เข้าซื้อ

ถึงแม้ว่าแวเลี้ยนท์จะ "ล้าง" บริษัทยังไม่เสร็จ แต่ราคาหุ้นก็ได้ล้างนักลงทุนและสร้างความเจ็บช้ำให้กับนักลงทุนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การคาดหวังว่าราคาหุ้นจะกลับไปที่เดิมคงเป็นเรื่องยาก นี้คือเรื่องราวของยาพิษในหุ้นเติบโตเร็วได้เป็นอย่างดี ตลาดหุ้นไทยอาจจะยังเห็นไม่เด่นชัดนัก แต่สักวันมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ


SiTh LoRd PaCk