ห้องเม่าปีกเหล็ก

7 ข้อคิด ฝึกใจให้ยิ้ม

โดย ดอกชบา
เผยแพร่ :
313 views

7 ข้อคิด ฝึกใจให้ยิ้ม

พศิน อินทรวงค์

 

1. ในชีวิตของคนหนึ่งๆ จิตใจกับสถานการณ์ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กันเป็นปกติ หากสถานการณ์ขาขึ้น ใจเราก็ฟู หากสถานการณ์เข้าขาลง ใจเราก็แฟบ นี่คือสิ่งที่คนเป็นกันมาก แต่ความจริงแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น เราทุกคนควรฝึกใจให้เป็นอิสระจากสถานการณ์ภายนอก ไม่ควรเอาใจผูกไว้กับสิ่งที่อยู่ภายนอก เพราะสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งผู้คน วัตถุ สถานะ สังคม ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นปกติ ยิ่งเอาใจเข้ายึดมั่น ยิ่งเปิดหนทางแห่งความทุกข์เป็นเท่าทวี

2. ขอให้ท่านทั้งหลาย ฝึกมองไปตามจริง เมื่อตาหูจมูกลิ้นกาย หยิบภาพเสียงกลิ่นรสสัมผัส ย่อมเกิดเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด ใจย่อมเข้าสู่กระบวนการประมวลผล ไปตามประสบการณ์ เกิดเป็นความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ต่าง ๆ แล้วความเป็นเราจึงเข้ากระโจนแนบกอดความรู้สึกนั้นไว้ ถ้าเขาชม เราก็ดีใจ ถ้าเขานินทา เราก็เสียใจ ไม่พอใจ วนเวียนอยู่เช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ดีสักเท่าไหร่ แต่นี้ต่อไปควรฝึกใจให้เป็นผู้ดู ความรู้สึกเกิดขึ้น เราเพียงแค่ดู เห็นว่าความรู้สึกต่าง ๆ ได้ผุดขึ้นแล้วในใจเรา โกรธให้รู้ว่าโกรธ ชอบให้รู้ว่าชอบ พอใจให้รู้ว่าพอใจ รู้ไปอย่างนี้สักพัก รู้อย่างกลางๆ ไม่เข้าแทรกแซงความคิด เราจะเห็นความจริงอย่างหนึ่ง ว่าแท้จริงแล้วความคิดและความรู้สึกเป็นเพียงนามธรรม ไม่ได้มีตัวตน และมันจะมีพลังต่อเมื่อใจเราเข้าไปยึดไปกำไปกอด เพียงเราตั้งท่าเฝ้ามองอยู่ห่างๆ เราย่อมเห็นอาการคลายจางของความคิด เห็นความจริงแบบไหวๆว่าความคิดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในตัวของมันเอง มีเกิดขึ้น และมีดับไปเป็นธรรมดา เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่ต้องทำอะไรกับความคิด ไม่ต้องไปกำจัด ไม่ต้องไปผลักไส ไม่ต้องไปรัก ไปชอบ ต้องไปรู้สึกอะไรกับมัน เพียงแค่เฝ้ามองความจริงเท่านั้นเอง

3. เวลาทำงาน ให้เอาใจผูกไว้ที่การงาน เกิดความรู้สึกฟุ้งซ่านก็ให้ดึงกลับมาที่งาน หนทางนี้เรียกว่า เราผูกใจไว้กับปัจจุบัน ให้การงานเป็นตัวหยั่งรากของความคิด ตาดู หูฟัง จดจ่อมุ่งมั่นลงไปในการงาน สมาธิที่เกิดขึ้นจากวิถีนี้ จะมีพลังมาก ทำให้เกิดสติปัญญาแหลมคม คิดการงานได้ทะลุทะลวง คือความคิดที่มีคุณภาพ เราจำเป็นต้องแยกให้ออกว่าความคิดนั้นมีหลายแบบ คิดการงานคือความคิดที่ดี คิดในทางเมตตาคือความคิดที่ดี คิดชื่นชมให้กำลังใจผู้อื่นคือความคิดที่ดี คิดละอายใจมองเห็นกิเลสและความผิดพลาดของตนคือความคิดที่ดี คิดกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณคือความคิดที่ดี เหล่านี้คือสิ่งที่เราสมควรคิด ส่วนความคิดใด ๆ ที่เป็นไปในหนทางของความอกุศล คิดแล้วกิเลสเพิ่มพูน คิดแล้วเกิดความรู้สึกโกรธ เกลียด โลภ ก็สมควรเฝ้าระวัง เพียงเฝ้าดู อย่าได้เข้าไปเป็น อย่าได้เอาใจเข้ายึดถือจนเกิดเป็นกลุ่มก้อนพลังงานด้านมืดของชีวิต ทั้งความรู้สึกเชิงลบ เช่นเหงา เศร้า กังวล ฟุ้งซ่าน ก็สมควรกำหนดรู้เพียงผ่านๆ ไม่สมควรกระโจนลงไปเล่นไปเป็นเช่นกัน

4. มนุษย์จำนวนมาก เกิดความทุกข์เมื่อสิ่งไม่พอใจมาเยือน ทว่า เราทุกคนสามารถพ้นไปจากเงื่อนไขในลักษณะนี้ได้ กระบวนการฝึกตนคือทักษะ ต้องทำให้บ่อย ให้ชิน ให้กลายเป็นนิสัยติดตัว เป็นเนื้อเป็นตัวของเรา สิ่งใดๆเกิดขึ้น ให้สร้างช่องว่างเล็ก ๆ ช่องว่างนี้คืออาการแยกตนเองออกจากสถานการณ์ สูดลมหายใจเบาๆ ลึกๆ แล้วยิ้มน้อยๆ สร้างความรู้สึกเบิกบานแล้วยิ้ม ไม่ว่าภายนอกจะเกิดอะไรขึ้น เพียงเรายิ้มน้อย ๆ ยิ้มกับตนเองด้วยความรู้สึกที่ดี นั่นคือจิตยิ้ม คือใจยิ้ม ยิ้มเล็ก ๆ ดังพระพุทธรูปในโบสถ์วิหารศักดิ์สิทธิ์

5. จิตยิ้มใจยิ้ม คือความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย คือความรู้สึกอิ่มอุ่นผ่อนคลาย คล้ายความปีติในธรรม คล้ายความรู้สึกยามที่เรามองเห็นครอบครัวมีความสุข ยามที่เรามองเห็นสิ่งดีงามแบบลึกซึ้ง ความรู้สึกนี้กินลึกในจิตวิญญาณมากกว่าความดีใจ ความดีใจคือการกระโดดโลดเต้น เป็นความรู้สึกแบบใจกระโดด รู้สึกวูบวาบ แต่ความรู้สึกของจิตยิ้มใจยิ้ม เป็นความรู้สึกที่ราบเรียบเหมือนผิวน้ำในบึงใหญ่กลางป่า เป็นความรู้สึกของยามเช้าในวันดีๆ สงบเงียบ ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวสำหรับผู้ไม่เคยฝึกฝน แต่ความรู้สึกเช่นนี้ จะเกิดขึ้นเสมอๆ สำหรับผู้ที่หมั่นทำความรู้สึกตัว กำหนดช่องว่าง ดึงตนเองออกมาเพื่อมองสถานการณ์ภายนอกอย่างผู้รู้ ผู้ดู ไม่ลงไปเล่น ไม่ลงไปเป็น

6. อีกนัยหนึ่ง จิตยิ้มใจยิ้ม คือความรู้สึกของพรหมวิหารธรรม คือยิ้มด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นรอยยิ้มแบบพระโพธิ์สัตย์ ผู้มีความตื่นรู้ในสรรพสิ่งว่าเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ ความเมตตาของพระโพธิ์สัตย์นี้ ผสานกับความตื่นรู้ในแบบพระพุทธเจ้า เมตตาคือความรู้สึกเชิงบวก ความตื่นรู้คือค่ากลาง จิตยิ้มใจยิ้ม จึงเป็นกระแสของความรู้สึกเชิงบวกเล็กๆ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในความสงบแบบพระพุทธเจ้า ซึ่งสิ่งนี้มีพร้อมอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน

7. โลกเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ยิ่งยุคสมัยโลกาภิวัฒน์ เฟื่องฟูเทคโนโลยี กระแสโลกยิ่งว่องไวรวดเร็ว ผู้ใดฝากใจไว้กับโลก ผู้นั้นย่อมถูกกระแสโลกปั่นปวน เหมือนเป็นลูกข่างถูกโลกจับหมุน โลกขึ้นสูง ใจขึ้นตาม โลกดิ่งลงเหว ใจทุกข์ท้อทุกข์ระทม ชีวิตเช่นนี้ย่อมหาความสุขได้ยาก

ขอทุกท่านจงฝึกใจให้เหมือนใบบัว

ทุกใบบัวมีหยดน้ำกระทบ

แต่หยดน้ำนั้นไม่อาจซึมผ่าน

อยู่กับสายน้ำอย่างไรใจเราจึงไม่เปียก

ลองหลับตา แล้วสูดลมหายใจช้า ๆ

สัมผัสถึงความเป็นไปในชีวิต

มองให้เห็นชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในชีวิต

แกนกลางชีวิตคือความสงบนิ่ง

คือความเป็นกุศลเย็นฉ่ำ

จิตยิ้มใจยิ้ม จะพาเราไปสู่สถานที่แห่งนั้น

ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์งดงาม

เป็นสิ่งไม่เหลือวิสัย

เพราะเราทุกคนมีสิ่งนี้อยู่แล้วในใจ…

***บทความโดย.. คุณพศิน อินทรวงค์***


ดอกชบา