[ตอนที่ 1] บทความแปลหนังสือ Price Pattern : Martin Pring on Price Patterns
นี่จะเป็นโครงการแปลตำรา"เทรด Forex" อีกเล่ม โดยจะเผยแพร่ความรู้นี้ให้แก่สาธารณะฟรี หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ไทยเรา
หนังสือเล่มนี้แต่งโดย Martin J. Pring ผู้ก่อตั้ง Pring Research and publisher of Intermarket Review (www.pring.com) เจ้าของฉายา "technician’s technician" ซึ่งเป็นวิทยากรและผู้เขียนหนังสือการวิเคราะห์ด้วยวิชา Technical หลายเล่ม (การวิเคราะห์กราฟโดยใช้วิชาสถิติประยุกต์) ซึ่งถูกใช้เป็นมาตรฐานในวงการเทรดในปัจจุบัน
ผมชอบเล่มนี้เพราะเเน้นที่รูปแบบจากตลาดจริง มีตัวอย่าง ทำให้เข้าใจง่าย, โดยผมจะเลือกแปลบทที่คิดว่าสำคัญให้พวกเราอ่านก่อน จะไม่แปลทั้งเล่มตามลำดับหนังสือนะครับ ใครชอบเล่มนี้และเก่งอังกฤษก็สามารถหาซื้อได้จาก amazon ก็ได้ครับ (ผมซื้อมา 30.46USD)
แนวรับและแนวต้าน
ในตำรา “การวิเคราะห์ทางเทคนิคของแนวโน้มหุ้น” Edwards และ Magee ได้นิยามให้แนวรับเป็น “การซื้อ (ตามจริงหรือความเป็นไปได้) ที่มีปริมาณเพียงพอที่จะหยุดแนวโน้มขาลงของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง” และแนวต้านเป็น “การขาย(ตามจริงหรือความเป็นไปได้) ที่มีปริมาณเพียงพอที่ทำให้เกิดความพึงพอใจต่อการเสนอซื้อทั้งหมด จึงทำให้ราคาหยุดวิ่งขึ้นไปชั่วขณะ”
แนวรับ คือ การกระจุกตัวของอุปสงค์ (concentration of demand) และแนวต้าน คือ การกรระจุกตัวของอุปทาน (concentration of supply) โดยที่คำว่าการกระจุกตัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานมักจะมีปริมาณมากที่บริวเณนั้น และมีความสมดุลกันอยู่ แต่เมื่อเกิดความสนใจของผู้ซื้อสูงขึ้นกว่าเดิม (เมื่อเทียบกับผู้ขาย) หรือทางกลับกัน ก็จะกลายเป็น ความไม่สมดุล และนี่คือสิ่งที่กำหนดแนวโน้ม (Trends) ที่เกิดจากความไม่เท่ากันของความอยากซื้อและขาย,ถ้าหากผู้ซื้อแสดงความสนใจมากกว่าผู้ขาย พวกเขาก็จะเพิ่มการเสนอซื้อเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะพึงพอใจกับการซื้ออุปสงค์ ในทางกลับกัน ถ้าหากผู้ขายเกิดความวิตกกังวลมาก พวกเขาจะซื้อในราคาที่ต่ำลงและระดับของราคาทั่วไปก็จะลดลงด้วย
ถ้าคิดไม่ออก ให้คิดว่าแนวรับของราคา จะอยู่ในระดับต่ำสุดชั่วคราว และแนวต้านจะอยู่ในระดับสูงสุดชั่วคราว
ในช่วงเริ่มต้นของ <รูปภาพที่ 3-1> ราคาจะมีการลดลงมา, แล้วพบกับแนวรับด้านล่างในบริเวณ A แล้วค่อยเด้งฟื้นขึ้น ช่วงเวลาถัดมาจะลดลงจนถึงบริเวณ A แล้วเด้งขึ้นอีกครั้ง ถึงตรงนี้อาจจะกล่าวได้ว่า A เป็นพื้นที่แนวรับ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงหลักการวิเคราะห์แนวรับ/แนวต้านครั้งแรกของเราคือ ระดับสูง (HIGH) หรือต่ำ (LOW) ในช่วงก่อนหน้านี้เป็นระดับของแนวต้าน/แนวรับ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ครั้งที่สามราคาจะหลุดแนบรับลงมา หลุดทะลุ A ลงมา, หรือที่เรียกกันว่า ทะลุระดับแนวรับ,ดังที่เรากล่าวไว้ถึงแนวรับ หนึ่งในหลักการแรกของการหาระดับของแนวรับที่เป็นไปได้ จากนั้นก็จะค้นหาพื้นที่ LOW ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ , ส่วนในกรณีของแนวต้าน บริเวณที่อาจจะเกิดขึ้น น่าจะอยู่ในพื้นที่ HIGH ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
1. LOW ก่อนหน้า เป็นตำแหน่งที่ดี ที่คาดว่าจะเป็นแนวรับ
<รูปภาพที่ 3-2> แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่ชัดขึ้น ครั้งนี้ราคาเจอแนวรับชั่วคราวในบริเวณ B, และ C, โดยจะสังเกตได้ว่า มีการเด้งขึ้นที่บริเวณแนบรับ B, ดังนั้นหลักการที่สองคือ แนวรับ B จะกลายเป็นแนวต้าน B เมื่อราคาคิดจะย้อนกลับขึ้นมา, ลองคิดแบบนี้คือ เวลาก่อสร้าง พื้นตึกของชั้นจะทำหน้าที่เป็นแนวรับ (B) แต่เมื่อมีการลงผ่านชั้นนั้น แนบรับกลับกลายมาเป็นแนวต้าน (B) ที่เรียกกันว่าเพดาน เหตุผลที่แนวรับและแนวต้านตรงกันข้ามเมื่อผ่านมันไป อาจอธิบายทางจิตวิทยาเบื้องต้น คือ ไม่มีผู้ใดที่ต้องการสูญเสีย แม้บางคนสามารถ cut loss ออกในช่วงแรก แต่ก็มักจะมีการทนถือออเดอร์ติดลบใหญ่ไว้ จนกว่าราคาจะหวนกลับมาถึงราคาต้นทุน ซึ่งถ้าราคากลับมาถึงจุดเข้าได้ พวกขาสามารถที่จะหยุดและขายได้เท่าทุน จึงทำให้เกิดปริมาณซื้อขายมาก และมากพอที่จะหยุดราคาให้อยู่ตรงนี้สักระยะก่อให้เกิด แนวรับ/แนวต้น ชั่วคราวนั่นเอง
2. แนวรับจะกลับกลายเป็นแนวต้านเมื่อราคากลับขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องสุดท้าย ในรูปภาพที่ 3-3 เราจะพบว่าราคากลับขึ้นมา และผ่านแนวต้านในบริเวณ B และ A (ซึ่งเคยเป็นแนวรับมากก่อน)เมื่อทะลุ B ขึ้นมาได้ก็ ไปเจอแนวต้านที่บริเวณ A อีกครั้ง, ดังนั้นหลักการที่สามคือ แนวต้านจะกลับบทบาทเป็นแนวรับเมื่อทะลุไปได้